Friday, February 19, 2016

รีวิว ROOM - ขังใจไม่ยอมไกลกัน (2015)

รีวิว ROOM - ขังใจไม่ยอมไกลกัน (2015) 

Kobe's Meter : 10/10 


**ไม่สปอยล์นะ**

เวลา 118 นาทีของ Room สามารถทำให้เราถอนหายใจแรงๆ ร้องไห้หนักมาก ยิ้ม หัวเราะ ปรบมือ และกระทืบเท้ารัวๆในโรงได้ ไม่มีภาพยนตร์เรื่องไหนก่อนหน้านี้ทำได้อย่างนี้มาก่อนในชีวิตการชมภาพยนตร์  30 กว่าปีของเรา มันครบถ้วนไปด้วยความสมบูรณ์แบบทางอารมณ์ ความรัก  ความโกรธ ความเศร้า ความกลัว ความกล้า ทุกอย่างมีพลังมากมายใน ROOM 

นอกจากนั้นแล้ว การเล่าเรื่อง การสื่อความหมายด้วยภาพ การตัดต่อ ดนตรี การอัดเสียง บทภาพยนตร์  และการแสดงที่ยอดเยี่ยมมากๆ .. ไม่รู้จะชมอะไรได้อีกแล้ว มันรวมกันออกมาเป็นภาพยนตร์เรื่องนึงที่คนทุกคนควรต้องชมสักครั้ง 

Room เป็นเรื่องราวของ Joy ( Brie Larson) หญิงสาวที่ต้องอาศัยอยู่ในห้องเล็กๆขนาดแค่เต้นแอโรบิคได้ 4 คน มีเพียงช่อง Skylight เล็กๆเท่ากระดาษเอ3 ช่องเดียวเท่านั้นที่เป็นที่ที่เธอสามารถเห็นว่ายังมี"ข้างนอก"อยู่ แต่ที่แย่กว่านั้นคือเธอต้องอาศัยอยู่กับ Jack (Jacob Tremblay) ลูกชายวัย 5 ขวบ ของเธอที่เกิดและเติบโตในห้องแคบๆนี้ การใช้ชีวิตในห้องแคบๆนานหลายปี ส่งผลกระทบต่อเธอและลูกของเธออย่างไร .. นี่คือสิ่งที่คนดูอย่างเราสงสัยจากการดูเทรลเลอร์ แต่หลังจากเข้าไปชมที่โรงภาพยนตร์แล้ว มันยังมีอะไรอีกมากมายมหาศาลที่เราเจอจาก Room .. ห้องเล็กๆห้องนี้มีอะไรให้เราต้องขบคิดและไตร่ตรองมากมายจริงๆในฐานะที่เราเป็นผู้ใหญ่ 

การที่ Joy เป็นผู้ใหญ่ เธอรู้แล้วว่าโลกใบนี้มีอะไรบ้าง ไม่ว่าเธอจะเจอกับสถานะการณ์แบบไหน แต่เธอรู้ว่านอกห้องนี้ ยังมีอะไรรอเธออยู่ แต่กับเด็ก 5 ขวบอย่าง Jack ที่ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยเห็นอะไรเลยนอกจากกำแพง 4 ด้าน กับแม่ของเขา แล้ววันนึงเมื่อเขาต้องออกมาจากห้องๆนั้นและพบว่า โลกมันกว้างใหญ่เพียงใดแบบไม่ทันตั้งตัว มันเป็นความน่ากลัวมากกว่าตื่นเต้น  ถ้าเป็นเรา เราจะอยู่ได้มั้ย นี่คือสิ่งที่เราคิดตลอดเวลาที่ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ 

Room มีจุดพีคของอารมณ์หลายจุดมากๆ มีคำ ข้อความ และจุดปมต่างๆที่ละเอียดอ่อนหลายจุดมาก ถึงตอนต้นของมันจะดูเงียบๆ อึดอัด และน่าเบื่อไปบ้าง แต่แค่ไม่เกิน 15 นาทีแรก หนังก็เอาคนดูอยู่ยาวจนจบเรื่องเลย อยู่จนไม่อยากลุกออกจากโรงในทันที เรากับเพื่อนที่ไปดูด้วยกัน นั่งนิ่งในความมืดอยู่พักนึงถึงขยับตัวลุกขึ้นได้ เราโดน Room ดึงไปอยู่ด้วยในช่วงเวลานึงจริงๆ แบบที่ฝรั่งเรียกว่า captivated นั่นละ 


การที่เด็ก 5 ขวบคนนึง เหยียบเท้าลงบนพื้นโลกที่เค้าไม่รู้จักเลย เค้ามีเพียงแม่คนเดียวของเขาเท่านั้นที่เป็นที่ยึดมั่น การเดินก้าวไปแต่ละก้าวไม่ง่ายเลย 

กลับกัน คนที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างอย่าง Joy ถูกกักขังเอาไว้ในห้องเล็กๆหลายปี เมื่อกลับมาพบกับอิสระภาพอีกครั้ง ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะง่าย 



การแสดงของ Brie Larson ยอดเยี่ยมมาก ไม่มีการ Overdo ให้รู้สึกถูกกระชากลากอารมณ์ ดึงซีนอะไรทั้งนั้น มันดูจริงจนอิน เป็นการแสดงที่ดูพอดี ไม่พุ่งออกมาจนดูออสก้าร์แต่ซึมลึกๆ เหมือนเราแอบส่องชีวิตคนคนนึงอยู่จริงๆ สายตา  น้ำเสียง มันน่าเชื่อถือมาก สมควรแล้วที่เธอได้รางวัลนำหญิงแบบฟาดเรียบมา ยิ่งบวกกับน้อง Jacob แล้ว  โอ้โห บอกเลยว่าสองคนนี้เล่นเป็นแม่ลูกกันได้สมจริงจนแบบ เห้ย มึงแม่ลูกกันจริงป่าววะ มันพอดีมากๆ ไม่ดูรักเกิน หรือรักไม่พอ เพราะคนเราเวลารักใคร มันจะมีจังหวะการถ่ายทอดความรัก ไม่ใช่แสดงออกว่ารักว่าหวงเหลือเกินตลอดเวลาเป็นแม่จงอางหวงไข่เหมือนการแสดงของดาราเก่งๆคนอื่น ลองนึกถึง Nicole Kidman หรือ Cate Blanchett อะ  นั่นคือแสดงเก่ง แต่มันจะจับได้เบาๆว่าแสดง น้อง Jacob แสดงได้โคตรดี ดีจนแบบ เห้ย  ให้ออสก้าร์เด็กเพิ่มได้ป่าว สมัยก่อนบ้านเรานังมีตุ๊กตาเงินดาวรุ่งเลยอะ น้องเค้าเล้นดีจริงๆ น่ารัก มีพลัง มีความไร้เดียงสาครบถ้วนเลย โคตรรักเด็กคนนี้เลย 

นักแสดงคนอื่นๆอย่าง Joan Allen นี่ไม่ต้องพูดถึง แค่ 5 วินาที 10 วินาทีที่โผล่มาในจอก็เอาคนดูอึ้งไปหลายดอก นี่คืออีกคนที่ควรได้ออสก้าร์มากๆมาตั้งแต่ตอน PleasantVille (1998) ล่ะ  

สรุป.. อยากให้ไปดูกันนะ ยังหลงคาโรงอยู่บ้าง แต่ที่ลิโดยังรอบเยอะอยู่ ถ้าใครรอแผ่นออก ก็แนะนำว่า ปิดไฟดูเงียบๆ อย่าวอกแวก // คนเป็นพ่อเป็นแม่ควรไปดูมากๆ โดยเฉพาะไอ้พวกที่นังลูกเป็นลิงทโมนยังไม่โตเนี่ย ควรไปดูๆ แล้วคุณจะเข้าใจว่า "ไม่มีใครเข้มแข็งได้โดยลำพัง" 


Sunday, February 7, 2016

วิจารณ์ภาพยนตร์ - Movie Review : The Revenant - ต้องรอด (2016)

รีวิว The Revenant : ต้องรอด (2016)

Kobe's meter : 8/10 

"มันคือหนังดีที่ทุกคนต้องดู แต่อาจจะไม่ดูซ้ำหรือเอาแผ่นมาเก็บเพื่อเปิดดูเวลาว่างๆเพื่อเอาสนุก นอกจากว่าจะตั้งใจหยิบกลับมาดูจริงๆ หรือคงดูเพราะเคเบิ้ลทีวีฉายพอดีก็เลยดู ให้ความรู้สึกผวังเดียวกันกับหนังอย่าง Saving Private Ryan ในบรรยากาศฉากหลังอันหนาวเหน็บสุดขั้วแบบ The Grey" 


The Revenant เล่าเรื่องเมื่อปี 1823 สมัยที่พวกยุโรปเพิ่งบุกอเมริกาไม่นาน สร้างสงครามกับชาวอินเดียนแดงท้องถิ่น รุกรานที่อยู่ที่กินของเผ่าหลายเผ่า จนเกิดการต่อสู้กันภายในประเทศอันยิ่งใหญ่นี้ มี Huge Glass เป็นคนนำทางในป่าที่เชี่ยวชาญเส้นทางพอที่จะดูแลกลุ่มทหารหรือพ่อค้าที่สนใจจะเข้าไปตักตวงทรัพยากรในป่าในเขาออกมาทำเงินตามใบสั่งนายทุน รับบทโดยลีโอตัวเหม็นเป็นตัวละครหลัก


**Spoiled เบาๆมากๆ
The Revenant เป็นหนังที่มีข้อดีที่น่ายกย่องมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเยอะเหมือนกัน มันเป็นหนังที่ต้องอาศัยความอดทนในการรับชมค่อนข้างมาก ตามสไตล์ ผกก. Alejandro González Iñárritu ที่มือขึ้นเมื่อปีก่อนจากเรื่อง Birdman (2014) หนังดีที่เราไม่ชอบอีกเรื่องนึงของ ผกก. คนนี้



งานภาพของ The Revenant สวยงามมากๆ แสงธรรมชาติในฤดูหนาวนั้น เป็นอะไรที่ถ่ายภาพยากมากๆ มันมีแต่สีขาวโพลนไปหมด แต่หนังเรื่องนี้ใช้ความขาวโพลนนำเสนออารมณ์หนังได้ดีมากๆ ผกก เน้นย้ำว่าใช้แสงธรรมชาติล้วนๆ เลยต้องยกรางวัลให้ Cinematographer ฝีมือเทพอย่าง Emmanuel Lebozki ไปเลยว่าทำงานออกมาได้เจ๋งจริง ดูแต่ภาพในหนังก็เลอค่ามากแล้ว เห็นว่าไปถ่ายกันหลายที่มากๆ ทั้ง USA Canada Argentina เราว่าไปดูงานภาพอย่างเดียวก็คุ้มละ แล้วการถ่ายฉากต่างๆแบบ Longshot ก็ยังเป็น signature ของ ผกก. ที่ทำได้ดีงาม ทำให้รู้สึกเรียลลิตี้ดี




การดำเนินเรื่อง บท แค่ผ่าน เพราะมันก็ค่อยๆให้เราสร้างอารมณ์ร่วมกับตัวละครแบบพอใช้ได้นะ แต่ยังไม่ถึงกับอินเท่าไหร่ในหลายๆจุด เพราะโลจิคของตัวละครกับเราค่อนข้างแย้งกันในหลายจุดด้วยมั้งเลยไม่ค่อยรู้สึกต่อเนื่องเท่าไหร่ในด้านอารมณ์หนัง แต่ตรงนี้ต้องยกให้ลีโอนาโดเลยว่าเล่นเก่งจนเราคล้อยตามได้ในที่สุด แต่ไม่ใช่จากบทหรือการดำเนินเรื่องเลย โดยเฉพาะช่วงห้วงคำนึงของ Glass ที่มาหลายๆรอบ เราว่าน่าเบื่อและโคตรจะไม่อิน  ทำเอาหนังคะแนนตกเลยล่ะ เราว่าเป็นบทหนังพื้นๆมากๆ ไม่ได้น่าสนใจเท่าไหร่ เอามาจากนิยายที่แต่งจากบันทึกจริง ที่น่าสนใจถ้าเป็นเรื่องเล่าขาน แต่สำหรับการเป็นหนัง เราว่ายังเฉยๆ ความสมเหตุสมผลยังไม่สุดหลายๆจุด แต่ก็ทำออกมาได้ไม่เลวในส่วนที่ดูเป็นไปได้จริง  งงมะ  คือมันมีจุดที่ดูแล้วเชื่อโคตรๆ  กับจุดที่แบบ  เห้ย  เหรอวะ  ปะปนกันไปตลอดเรื่อง  คือถ้านักแสดงไม่แข็งแรงพอ  อาจจะดูไม่ดีเท่านี้ ก็อย่างที่บอกไปแล้ว  การแสดง  การกำกับภาพช่วยหนังเอาไว้ได้มากเลยจริงๆ  


การแสดงของลีโอตัวเหม็น คือสมควรได้รับออสก้าร์มั้ย  เราว่าก็ควร แต่ไม่ใช่เพราะบทบาทในเรื่องที่แสดงออกมา เราว่าลีโอทำได้กลมกล่อมกว่านี้ตอน The Aviator (2004) ตอนนั้นบทส่งด้วยการแสดงเต็มด้วย แต่เรื่องนี้ การมารับบท Huge Glass ของลีโอนั้น ฮีทุ่มเทมากๆ ทั้งการฝึกพูดภาษาอินเดียนแดง การเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตในป่าแบบเอาจริง และหลายๆการกระทำที่คนดูจะต้องอึ้งมาก ที่ฮีทำให้เราเห็นในหนัง (ซึ่งมันเยอะมากๆๆๆๆๆ) เรารู้เลยว่า นี่คือบทที่โหดหินที่สุดของลีโอเลย ฮีทุ่มสุดชีวิตมากๆ เราคิดไม่ออกเลยว่าถ้าคนอื่นจะมารับบท Huge Glass แทนลีโอ มันจะดูน่าเชื่อถือเท่านี้มั้ย มันคือบทที่ทำออกมาให้คนแบบลีโอเล่นอะ เอาออสก้าร์ไปเหอะ แม่ง คู่ควร (ถึงแม้ว่าถ้าเรานับเฉพาะพลังทางการแสดงล้วนๆแล้ว เราเชียร์ Fassbender มากกว่าจริงๆนะ)




ทอม ฮาร์ดี้ เล่นดีมาก สายตาโคตรมีพลัง โดยเฉพาะตอนแคมป์ไฟ แม่งโคตรหลอน  แต่มาพังตรงการพยายามพูดสำเนียง Texas ของฮีอะ คือพังพินาศมาก เสียหายมาก มากจนไม่เชียร์ให้ฮีได้ออสก้าร์สมทบชายปีนี้ละ เสียงเหมือนมีถุงเท้าอุดปากอยู่ตลอดเวลา จริงๆสำเนียงเทกซัสมันเหน่อๆห้วนๆและออกเสียงไม่ครบสระ แต่ไม่ต้องขึ้นจมูกเว่อร์ขนาดนั้นป่าววะ  คือแอบรำเบาๆนะจุดนี้อะ

เราชอบฉากเปิดตัวของหนัง ที่ทำเป็นภาพย้อนอดีตเงียบๆ เราว่าเป็นการเล่าเรื่องในใจของ Glass ที่ชัดเจนดี 

เราชอบฉากสู้กับหมีกรีซลี่ เราว่ามันสมจริงมาก มากจนเรารู้สึกถึงกลิ่นปากและน้ำลายยืดๆของหมีเลยอะ เป็นฉากที่พีคที่สุดของหนังเลยก็ว่าได้ ตื่นเต้นอดรีนาลีนล้นจนแทบลืมหายใจเลย ลีโอเล่นดีมาก มากจนแบบ  เห้ย! มึงเก่งมากกกก อีห่า มึงองค์ลงมากๆ แถมด้วยมุมกล้องและการบันทึกเสียงที่ชนะเลิศเข้าไปอีก  โคตรฟิน

เราชอบองค์ประกอบของฉากทุกฉากทุกตอนในหนังเลย เราว่ามันเป๊ะ มันสื่อสารได้โดยไม่ต้องพูด ถ้าเราใส่ใจรายละเอียดสักหน่อย เราจะอินกับหนังเรื่องนี้มากขึ้นจากการชมภาพในหนังเลยล่ะ  สวย สวย และสวยจริงๆ  Lebozki ควรได้ระบออสก้าร์ตัวที่ 3 จากการกำกับภาพเรื่องนี้นะ 


เราไม่ชอบสำเนียง Texas ของฮาร์ดี้ 
เราไม่ชอบบทภาพยนตร์เท่าไหร่
เราไม่ชอบบทสรุปมากนักด้วย

แต่เราก็ยืนยันนะ ว่า The Revenant เป็นหนังที่ดีมากจริงๆ ควรไปดูนะ น่าจะได้นำชายกับกำกับภาพยอดเยี่ยมได้ไม่ยาก แต่ไม่น่าได้ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอะ Spotlight ดูเป็นแนวทางที่ออสก้าร์ชอบมากกว่า ส่วน  ผกก ยอดเยี่ยม  เราอินกับเฒ่า George Miller จาก MadMax มากกว่า  ก็ไปลองดูละกัน คิดเห็นอย่างไรก็แชร์กันได้