Friday, February 19, 2016

รีวิว ROOM - ขังใจไม่ยอมไกลกัน (2015)

รีวิว ROOM - ขังใจไม่ยอมไกลกัน (2015) 

Kobe's Meter : 10/10 


**ไม่สปอยล์นะ**

เวลา 118 นาทีของ Room สามารถทำให้เราถอนหายใจแรงๆ ร้องไห้หนักมาก ยิ้ม หัวเราะ ปรบมือ และกระทืบเท้ารัวๆในโรงได้ ไม่มีภาพยนตร์เรื่องไหนก่อนหน้านี้ทำได้อย่างนี้มาก่อนในชีวิตการชมภาพยนตร์  30 กว่าปีของเรา มันครบถ้วนไปด้วยความสมบูรณ์แบบทางอารมณ์ ความรัก  ความโกรธ ความเศร้า ความกลัว ความกล้า ทุกอย่างมีพลังมากมายใน ROOM 

นอกจากนั้นแล้ว การเล่าเรื่อง การสื่อความหมายด้วยภาพ การตัดต่อ ดนตรี การอัดเสียง บทภาพยนตร์  และการแสดงที่ยอดเยี่ยมมากๆ .. ไม่รู้จะชมอะไรได้อีกแล้ว มันรวมกันออกมาเป็นภาพยนตร์เรื่องนึงที่คนทุกคนควรต้องชมสักครั้ง 

Room เป็นเรื่องราวของ Joy ( Brie Larson) หญิงสาวที่ต้องอาศัยอยู่ในห้องเล็กๆขนาดแค่เต้นแอโรบิคได้ 4 คน มีเพียงช่อง Skylight เล็กๆเท่ากระดาษเอ3 ช่องเดียวเท่านั้นที่เป็นที่ที่เธอสามารถเห็นว่ายังมี"ข้างนอก"อยู่ แต่ที่แย่กว่านั้นคือเธอต้องอาศัยอยู่กับ Jack (Jacob Tremblay) ลูกชายวัย 5 ขวบ ของเธอที่เกิดและเติบโตในห้องแคบๆนี้ การใช้ชีวิตในห้องแคบๆนานหลายปี ส่งผลกระทบต่อเธอและลูกของเธออย่างไร .. นี่คือสิ่งที่คนดูอย่างเราสงสัยจากการดูเทรลเลอร์ แต่หลังจากเข้าไปชมที่โรงภาพยนตร์แล้ว มันยังมีอะไรอีกมากมายมหาศาลที่เราเจอจาก Room .. ห้องเล็กๆห้องนี้มีอะไรให้เราต้องขบคิดและไตร่ตรองมากมายจริงๆในฐานะที่เราเป็นผู้ใหญ่ 

การที่ Joy เป็นผู้ใหญ่ เธอรู้แล้วว่าโลกใบนี้มีอะไรบ้าง ไม่ว่าเธอจะเจอกับสถานะการณ์แบบไหน แต่เธอรู้ว่านอกห้องนี้ ยังมีอะไรรอเธออยู่ แต่กับเด็ก 5 ขวบอย่าง Jack ที่ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยเห็นอะไรเลยนอกจากกำแพง 4 ด้าน กับแม่ของเขา แล้ววันนึงเมื่อเขาต้องออกมาจากห้องๆนั้นและพบว่า โลกมันกว้างใหญ่เพียงใดแบบไม่ทันตั้งตัว มันเป็นความน่ากลัวมากกว่าตื่นเต้น  ถ้าเป็นเรา เราจะอยู่ได้มั้ย นี่คือสิ่งที่เราคิดตลอดเวลาที่ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ 

Room มีจุดพีคของอารมณ์หลายจุดมากๆ มีคำ ข้อความ และจุดปมต่างๆที่ละเอียดอ่อนหลายจุดมาก ถึงตอนต้นของมันจะดูเงียบๆ อึดอัด และน่าเบื่อไปบ้าง แต่แค่ไม่เกิน 15 นาทีแรก หนังก็เอาคนดูอยู่ยาวจนจบเรื่องเลย อยู่จนไม่อยากลุกออกจากโรงในทันที เรากับเพื่อนที่ไปดูด้วยกัน นั่งนิ่งในความมืดอยู่พักนึงถึงขยับตัวลุกขึ้นได้ เราโดน Room ดึงไปอยู่ด้วยในช่วงเวลานึงจริงๆ แบบที่ฝรั่งเรียกว่า captivated นั่นละ 


การที่เด็ก 5 ขวบคนนึง เหยียบเท้าลงบนพื้นโลกที่เค้าไม่รู้จักเลย เค้ามีเพียงแม่คนเดียวของเขาเท่านั้นที่เป็นที่ยึดมั่น การเดินก้าวไปแต่ละก้าวไม่ง่ายเลย 

กลับกัน คนที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างอย่าง Joy ถูกกักขังเอาไว้ในห้องเล็กๆหลายปี เมื่อกลับมาพบกับอิสระภาพอีกครั้ง ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะง่าย 



การแสดงของ Brie Larson ยอดเยี่ยมมาก ไม่มีการ Overdo ให้รู้สึกถูกกระชากลากอารมณ์ ดึงซีนอะไรทั้งนั้น มันดูจริงจนอิน เป็นการแสดงที่ดูพอดี ไม่พุ่งออกมาจนดูออสก้าร์แต่ซึมลึกๆ เหมือนเราแอบส่องชีวิตคนคนนึงอยู่จริงๆ สายตา  น้ำเสียง มันน่าเชื่อถือมาก สมควรแล้วที่เธอได้รางวัลนำหญิงแบบฟาดเรียบมา ยิ่งบวกกับน้อง Jacob แล้ว  โอ้โห บอกเลยว่าสองคนนี้เล่นเป็นแม่ลูกกันได้สมจริงจนแบบ เห้ย มึงแม่ลูกกันจริงป่าววะ มันพอดีมากๆ ไม่ดูรักเกิน หรือรักไม่พอ เพราะคนเราเวลารักใคร มันจะมีจังหวะการถ่ายทอดความรัก ไม่ใช่แสดงออกว่ารักว่าหวงเหลือเกินตลอดเวลาเป็นแม่จงอางหวงไข่เหมือนการแสดงของดาราเก่งๆคนอื่น ลองนึกถึง Nicole Kidman หรือ Cate Blanchett อะ  นั่นคือแสดงเก่ง แต่มันจะจับได้เบาๆว่าแสดง น้อง Jacob แสดงได้โคตรดี ดีจนแบบ เห้ย  ให้ออสก้าร์เด็กเพิ่มได้ป่าว สมัยก่อนบ้านเรานังมีตุ๊กตาเงินดาวรุ่งเลยอะ น้องเค้าเล้นดีจริงๆ น่ารัก มีพลัง มีความไร้เดียงสาครบถ้วนเลย โคตรรักเด็กคนนี้เลย 

นักแสดงคนอื่นๆอย่าง Joan Allen นี่ไม่ต้องพูดถึง แค่ 5 วินาที 10 วินาทีที่โผล่มาในจอก็เอาคนดูอึ้งไปหลายดอก นี่คืออีกคนที่ควรได้ออสก้าร์มากๆมาตั้งแต่ตอน PleasantVille (1998) ล่ะ  

สรุป.. อยากให้ไปดูกันนะ ยังหลงคาโรงอยู่บ้าง แต่ที่ลิโดยังรอบเยอะอยู่ ถ้าใครรอแผ่นออก ก็แนะนำว่า ปิดไฟดูเงียบๆ อย่าวอกแวก // คนเป็นพ่อเป็นแม่ควรไปดูมากๆ โดยเฉพาะไอ้พวกที่นังลูกเป็นลิงทโมนยังไม่โตเนี่ย ควรไปดูๆ แล้วคุณจะเข้าใจว่า "ไม่มีใครเข้มแข็งได้โดยลำพัง" 


Sunday, February 7, 2016

วิจารณ์ภาพยนตร์ - Movie Review : The Revenant - ต้องรอด (2016)

รีวิว The Revenant : ต้องรอด (2016)

Kobe's meter : 8/10 

"มันคือหนังดีที่ทุกคนต้องดู แต่อาจจะไม่ดูซ้ำหรือเอาแผ่นมาเก็บเพื่อเปิดดูเวลาว่างๆเพื่อเอาสนุก นอกจากว่าจะตั้งใจหยิบกลับมาดูจริงๆ หรือคงดูเพราะเคเบิ้ลทีวีฉายพอดีก็เลยดู ให้ความรู้สึกผวังเดียวกันกับหนังอย่าง Saving Private Ryan ในบรรยากาศฉากหลังอันหนาวเหน็บสุดขั้วแบบ The Grey" 


The Revenant เล่าเรื่องเมื่อปี 1823 สมัยที่พวกยุโรปเพิ่งบุกอเมริกาไม่นาน สร้างสงครามกับชาวอินเดียนแดงท้องถิ่น รุกรานที่อยู่ที่กินของเผ่าหลายเผ่า จนเกิดการต่อสู้กันภายในประเทศอันยิ่งใหญ่นี้ มี Huge Glass เป็นคนนำทางในป่าที่เชี่ยวชาญเส้นทางพอที่จะดูแลกลุ่มทหารหรือพ่อค้าที่สนใจจะเข้าไปตักตวงทรัพยากรในป่าในเขาออกมาทำเงินตามใบสั่งนายทุน รับบทโดยลีโอตัวเหม็นเป็นตัวละครหลัก


**Spoiled เบาๆมากๆ
The Revenant เป็นหนังที่มีข้อดีที่น่ายกย่องมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเยอะเหมือนกัน มันเป็นหนังที่ต้องอาศัยความอดทนในการรับชมค่อนข้างมาก ตามสไตล์ ผกก. Alejandro González Iñárritu ที่มือขึ้นเมื่อปีก่อนจากเรื่อง Birdman (2014) หนังดีที่เราไม่ชอบอีกเรื่องนึงของ ผกก. คนนี้



งานภาพของ The Revenant สวยงามมากๆ แสงธรรมชาติในฤดูหนาวนั้น เป็นอะไรที่ถ่ายภาพยากมากๆ มันมีแต่สีขาวโพลนไปหมด แต่หนังเรื่องนี้ใช้ความขาวโพลนนำเสนออารมณ์หนังได้ดีมากๆ ผกก เน้นย้ำว่าใช้แสงธรรมชาติล้วนๆ เลยต้องยกรางวัลให้ Cinematographer ฝีมือเทพอย่าง Emmanuel Lebozki ไปเลยว่าทำงานออกมาได้เจ๋งจริง ดูแต่ภาพในหนังก็เลอค่ามากแล้ว เห็นว่าไปถ่ายกันหลายที่มากๆ ทั้ง USA Canada Argentina เราว่าไปดูงานภาพอย่างเดียวก็คุ้มละ แล้วการถ่ายฉากต่างๆแบบ Longshot ก็ยังเป็น signature ของ ผกก. ที่ทำได้ดีงาม ทำให้รู้สึกเรียลลิตี้ดี




การดำเนินเรื่อง บท แค่ผ่าน เพราะมันก็ค่อยๆให้เราสร้างอารมณ์ร่วมกับตัวละครแบบพอใช้ได้นะ แต่ยังไม่ถึงกับอินเท่าไหร่ในหลายๆจุด เพราะโลจิคของตัวละครกับเราค่อนข้างแย้งกันในหลายจุดด้วยมั้งเลยไม่ค่อยรู้สึกต่อเนื่องเท่าไหร่ในด้านอารมณ์หนัง แต่ตรงนี้ต้องยกให้ลีโอนาโดเลยว่าเล่นเก่งจนเราคล้อยตามได้ในที่สุด แต่ไม่ใช่จากบทหรือการดำเนินเรื่องเลย โดยเฉพาะช่วงห้วงคำนึงของ Glass ที่มาหลายๆรอบ เราว่าน่าเบื่อและโคตรจะไม่อิน  ทำเอาหนังคะแนนตกเลยล่ะ เราว่าเป็นบทหนังพื้นๆมากๆ ไม่ได้น่าสนใจเท่าไหร่ เอามาจากนิยายที่แต่งจากบันทึกจริง ที่น่าสนใจถ้าเป็นเรื่องเล่าขาน แต่สำหรับการเป็นหนัง เราว่ายังเฉยๆ ความสมเหตุสมผลยังไม่สุดหลายๆจุด แต่ก็ทำออกมาได้ไม่เลวในส่วนที่ดูเป็นไปได้จริง  งงมะ  คือมันมีจุดที่ดูแล้วเชื่อโคตรๆ  กับจุดที่แบบ  เห้ย  เหรอวะ  ปะปนกันไปตลอดเรื่อง  คือถ้านักแสดงไม่แข็งแรงพอ  อาจจะดูไม่ดีเท่านี้ ก็อย่างที่บอกไปแล้ว  การแสดง  การกำกับภาพช่วยหนังเอาไว้ได้มากเลยจริงๆ  


การแสดงของลีโอตัวเหม็น คือสมควรได้รับออสก้าร์มั้ย  เราว่าก็ควร แต่ไม่ใช่เพราะบทบาทในเรื่องที่แสดงออกมา เราว่าลีโอทำได้กลมกล่อมกว่านี้ตอน The Aviator (2004) ตอนนั้นบทส่งด้วยการแสดงเต็มด้วย แต่เรื่องนี้ การมารับบท Huge Glass ของลีโอนั้น ฮีทุ่มเทมากๆ ทั้งการฝึกพูดภาษาอินเดียนแดง การเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตในป่าแบบเอาจริง และหลายๆการกระทำที่คนดูจะต้องอึ้งมาก ที่ฮีทำให้เราเห็นในหนัง (ซึ่งมันเยอะมากๆๆๆๆๆ) เรารู้เลยว่า นี่คือบทที่โหดหินที่สุดของลีโอเลย ฮีทุ่มสุดชีวิตมากๆ เราคิดไม่ออกเลยว่าถ้าคนอื่นจะมารับบท Huge Glass แทนลีโอ มันจะดูน่าเชื่อถือเท่านี้มั้ย มันคือบทที่ทำออกมาให้คนแบบลีโอเล่นอะ เอาออสก้าร์ไปเหอะ แม่ง คู่ควร (ถึงแม้ว่าถ้าเรานับเฉพาะพลังทางการแสดงล้วนๆแล้ว เราเชียร์ Fassbender มากกว่าจริงๆนะ)




ทอม ฮาร์ดี้ เล่นดีมาก สายตาโคตรมีพลัง โดยเฉพาะตอนแคมป์ไฟ แม่งโคตรหลอน  แต่มาพังตรงการพยายามพูดสำเนียง Texas ของฮีอะ คือพังพินาศมาก เสียหายมาก มากจนไม่เชียร์ให้ฮีได้ออสก้าร์สมทบชายปีนี้ละ เสียงเหมือนมีถุงเท้าอุดปากอยู่ตลอดเวลา จริงๆสำเนียงเทกซัสมันเหน่อๆห้วนๆและออกเสียงไม่ครบสระ แต่ไม่ต้องขึ้นจมูกเว่อร์ขนาดนั้นป่าววะ  คือแอบรำเบาๆนะจุดนี้อะ

เราชอบฉากเปิดตัวของหนัง ที่ทำเป็นภาพย้อนอดีตเงียบๆ เราว่าเป็นการเล่าเรื่องในใจของ Glass ที่ชัดเจนดี 

เราชอบฉากสู้กับหมีกรีซลี่ เราว่ามันสมจริงมาก มากจนเรารู้สึกถึงกลิ่นปากและน้ำลายยืดๆของหมีเลยอะ เป็นฉากที่พีคที่สุดของหนังเลยก็ว่าได้ ตื่นเต้นอดรีนาลีนล้นจนแทบลืมหายใจเลย ลีโอเล่นดีมาก มากจนแบบ  เห้ย! มึงเก่งมากกกก อีห่า มึงองค์ลงมากๆ แถมด้วยมุมกล้องและการบันทึกเสียงที่ชนะเลิศเข้าไปอีก  โคตรฟิน

เราชอบองค์ประกอบของฉากทุกฉากทุกตอนในหนังเลย เราว่ามันเป๊ะ มันสื่อสารได้โดยไม่ต้องพูด ถ้าเราใส่ใจรายละเอียดสักหน่อย เราจะอินกับหนังเรื่องนี้มากขึ้นจากการชมภาพในหนังเลยล่ะ  สวย สวย และสวยจริงๆ  Lebozki ควรได้ระบออสก้าร์ตัวที่ 3 จากการกำกับภาพเรื่องนี้นะ 


เราไม่ชอบสำเนียง Texas ของฮาร์ดี้ 
เราไม่ชอบบทภาพยนตร์เท่าไหร่
เราไม่ชอบบทสรุปมากนักด้วย

แต่เราก็ยืนยันนะ ว่า The Revenant เป็นหนังที่ดีมากจริงๆ ควรไปดูนะ น่าจะได้นำชายกับกำกับภาพยอดเยี่ยมได้ไม่ยาก แต่ไม่น่าได้ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอะ Spotlight ดูเป็นแนวทางที่ออสก้าร์ชอบมากกว่า ส่วน  ผกก ยอดเยี่ยม  เราอินกับเฒ่า George Miller จาก MadMax มากกว่า  ก็ไปลองดูละกัน คิดเห็นอย่างไรก็แชร์กันได้ 







Saturday, January 23, 2016

วิจารณ์ภาพยนตร์ - Movie Review : อวสานโลกสวย - Grace (2016)

อวสานโลกสวย : Grace (2016)

kobe'meter : 7/10


"ถ้าเทียบกับหนังไทยในปัจจุบัน เราถือว่าอวสานโลกสวยเป็นหนังที่น่าตีตั๋วเข้าไปชมในโรงภาพยนตร์มาก ถึงแม้จะเทียบกับหนังต่างประเทศแนวเดียวกันไม่ได้ก็ตาม" 


"บทภาพยนตร์ยังไปได้อีก ถ้ากล้ากว่านี้ จะเป็นหนังที่น่าจับตามากพอสำหรับตลาดต่างประเทศ"

"ประเด็นของหนังน่าสนใจและเข้ายุคสมัย ไม่มีอะไรขัดใจเลยเมื่อเทียบกับความจริงในปัจจุบัน" 

"สายป่านแสดงดีมาก แต่ก็เอาหนังทั้งเรื่องไว้ไม่อยู่ เพราะนักแสดงร่วมคนอื่นๆยังไม่กลมกล่อมพอ ไม่ใช่แสดงไม่ดี แต่ยังไม่เข้าที่" 

"การเล่าเรื่องแบบสลับไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบันเป็นอะไรที่ยากมากถ้านักแสดงไม่เก่งพอ และบทไม่รัดกุม อวสานโลกสวยก็เกือบๆจะไม่รอดเหมือนกัน ดีที่เส้นเรื่องไม่ได้ซับซ้อนมาก"

"ตามบทสรุปของอวสานโลกสวย ตัวละครหลักควรจะฉลาดกว่านี้อีกหน่อย จะทำให้ดูน่าเชื่อถือกว่านี้"

"เราว่าผู้ปกครองควรไปดูนะ เพราะมันสะท้อนภาพสังคมที่ลูกหลานท่านกำลังเผชิญอยู่ได้ดีเลยล่ะ สิ่งที่หนังเล่าออกมาไม่มีอะไรเกินจริงเลย ยังน้อยไปด้วยซ้ำ"

"หนังสไตล์นี้ ต้องอาศัยพลังจากนักแสดง จังหวะการตัดต่อและการกำกับ ดนตรีประกอบ และงานภาพอย่างรุนแรง เราว่าอวสานโลกสวยสอบผ่านนะ ขอให้พัฒนาต่อไป เพื่อวงการภาพยนตร์ไทยของเรา"

Wednesday, January 20, 2016

วิจารณ์ภาพยนตร์ - Movie Review : Tangerine - แทนเจอรีน (2015)

Tangerine : แทนเจอรีน (2015)

kobe's meter : 7/10 
"แซ่บแสบไส้แบบส้มตำปูปลาร้าริมถนน ร้านป้าปิ้งไก่บ้านๆ สกปรกๆ แต่อร่อยจนต้องรอคิวยาวเป็นชั่วโมง แถมแม่ค้าก็ไม่แคร์สื่อด้วย ถ้าไม่รอก็ไม่ต้องรอ  จะทำไม" หนังให้รสชาติแบบนั้นเลยล่ะ


โอเค .. หนังเรื่องนี้มีความน่าสนใจอะไร  ทำไมถึงบุกมาฉายแบบจำกัดโรง จำกัดเวลาในบ้านเราได้ในที่สุด  แล้วแบบ..คนดูเต็มโรงนะครับ  เต็มจนเราต้องนั่ง Honeymoon seat เพื่อดูมัน


ข้อแรก  มันคือหนังอินดี้ทุนต่ำที่มีคนช่วยกันทำน้อยมาก หลักๆไม่ถึง 10 คน  แต่ออกมาปังเรียกเสียงชื่นชมจากหลายสถาบันภาพยนตร์และนักวิจารณ์หัวสมัยใหม่เป็นกระบุงโกยว่าคือหนังที่ดีที่สุดเรื่องนึงของปี 2015


สอง มันถูกถ่ายด้วย iPhone5S ทั้งหมด! ก็ใช้ app ช่วย ใช้เลนส์ช่วยอะแหละ  แต่ก็นะ  มันออกมาเป็นหนังได้เลยอะ  มันทำได้ยังไง อยากเข้าไปดูงานมัน  


และสาม ธีมหนังเกิดขึ้นที่ LA เมืองนางฟ้า แต่หนังเลือกเล่าเรื่องดำมืดของ LA ที่มีคนดำ กระเทย มาเฟีย ยาเสพติด คนต่างด้าว โสเภณีและแมงดาหน้าหมา  สิ่งที่ข้บเคลื่อน LA อยู่ทุกวันนี้ออกมาแผ่หราให้เราดู

เราชอบที่หนังเล่าเรื่องได้ดีและสนุกมากจริง  เหมือนเราเป็นส่วนหนึ่งของเรื่อง นึกถึงเพื่อนเกย์สาวที่เล่าอะไรก็สนุกจังเลยเล่าเรื่องให้เราฟัง มันรู้สึกแบบนั้นเลยล่ะ เป็นหนังที่ Dialogue  สนุกมาก สมจริงมาก อย่างที่ไม่สามารถหาจากหนังเรื่องไหนได้ .. สาบาน!


หนังเปิดตัวมาก็จัดหนักเลย บทสนทนาแบบชนชั้นล่างของสังคมและสารพัดพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมที่ชวนกระอักกระอ่วนในตอนต้น แต่สักพักเราก็จะชินกับมันและเริ่มเข้าใจมัน ตามมาด้วยความอินกับตัวละคร และจบลงด้วยความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันกับตัวละครเหล่านั้นในที่สุด เราว่าหนังพาเราไปถึงสังคมอีกสังคมหนึ่ง สังคมของชนชั้นล่างที่เกลือกกลั้วอยู่กับยาเสพติดและอาชญากรรม จุดที่เราคงไม่อยากไปสัมผัสเองด้วยชีวิตจริง แต่แทนเจอรีนพาเราไปถึงจุดจุดนั้นได้อะ ให้เราได้สัมผัสถึงมันได้แบบตรงไปตรงมาและสมจริงจนเราเข้าใจคนที่เกิดมาในสังคมนั้นมากขึ้น เรารู้แล้วว่าบางครั้ง คนเราไม่มีทางเลือกจริงๆ เราขอบคุณคนทำหนังนะที่สื่อตรงนี้ออกมาให้เราได้ขอบคุณโชคชะตาของเราที่ให้เรามีที่ยืนในสังคมบ้าง

เส้นเรื่องที่แข็งแรงคืออีกเรื่องที่ดีของแทนเจอรีน ถึงการดำเนินเรื่องจะไปไวมากแต่เอาคนดูอยู่  เป็นหนังอินดี้เจ็บๆกับเรื่องราวที่หบายคาย สกปรกและรุนแรง แต่กลับดูง่ายและไม่ต้องปวดหัวไปคิดปะติดปะต่ออะไรเอาเอง  ทุกอย่างดำเนินไปตามความน่าจะเป็นของมัน บทที่ดี สนุก สมจริงและไม่หลุดโลกตามแนวอินดี้คือสิ่งที่แทนเจอรีนทำได้เกรด A 

ดาราโนเนมที่มาเล่นดู Real มากทุกคน คือเรานึกว่าเราดู Reality อยู่มากกว่าดูภาพยนตร์  มันเหมือนเราเดินตามเพื่อนที่เราไม่สนิทเท่าไหร่วันนึงเต็มๆ จนตอนจบเรารู้สึกสนิทกับมันขึ้นมาซะงั้น เราชอบ Cindy มาก เราเป็นเพื่อนนางได้เลยนะ

iPhone5S ทำภาพออกมาได้น่าประทับใจนะ  เราไม่มีอะไรติเรื่องงานภาพเลย เกรนมากอยู่ในแสงน้อยๆ ในที่ร่ม แต่ก็ไม่บอกไม่รู้อะว่าใช้ iPhone ถ่าย เราแค่ไม่ชอบความสั่นของภาพที่เกิดขึ้นตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งเอาจริงๆถือว่าน้อยมากๆแล้วสำหรับ hand-held movie camera แบบนี้  แต่เราก็ยังรู้สึกมึนๆกับมันอยู่ไม่น้อย  แต่มันดันเป็นจุดดีที่ ทำให้เหตุการณ์ในหนังดูสมจริงเว่อร์มาก ก็เป็นข้อเสียที่ดี  เออ  งงมะ!? เอาว่า มันดูเป็น reality มากกว่าที่จะเป็นภาพยนตร์นั่นล่ะ

สรุป เราว่าคนที่รักศาสตร์ของการทำภาพยนตร์ควรไปดู คนที่ชอความแปลกใหม่ควรไปดู แต่ถ้าไม่ใช่คนแบบนั้น แค่เป็นนักดูหนังเพื่อความบันเทิงก็ข้ามไปเลย เพราะมันไม่บันเทิงแบบนั้นหรอกจ้ะ!

Friday, January 15, 2016

วิจารณ์ภาพยนตร์ - Movie Review : The Dressmaker แค้นลั่น ปังเว่อร์

The Dressmaker (2015) 
kobe's meter : 8/10 

"ถ้าผมเป็นผู้หญิง ผมคงให้คะแนนเรื่องนี้เต็ม 10" 
"มันคือหนังที่มีเนื้อเรื่องแบบที่ Cannes ชอบ แต่ไม่น่าเบื่อและต้องพยายามดูให้เข้าใจขนาดนั้น เพราะมันดูสนุกเหมือนหนัง Box Office ตลาดๆนี่แหละ" 
นี่คือความรู้สึกหลังจากที่ออกมาจากโรงภาพยนตร์



The Dressmaker เล่าเรื่องย้อนไปปี 1951  Tilly (Kate Winslet) กลับมายังบ้านเกิด Dungatar  เมืองเล็กๆไร้ความเจริญในออสเตรเลีย พร้อมจักรเย็บผ้าและรองเท้าส้นสูงเพื่อมาหาตัวตนที่แท้จริงที่เธอเคลือบแคลงใจมาตลอดเวลา 25 ปี หลังจากที่ถูกบังคับให้ออกจากเมืองนี้ไปในข้อหาฆาตกรรมในตอนที่เธออายุ 10 ขวบเท่านั้น

*บอกก่อนว่านี่คือความคิดเห็นในมุมและการตีความของเราเท่านั้นนะ*

The Dressmaker เป็นหนังที่ไม่มีตรงกลาง ซึ่งทำให้มันสนุกอย่างร้ายกาจ หนังจับเอาความเป็น Rom-com มาใช้หลอกคนดูเพื่อลดความแรงของบรรยากาศ แต่จริงๆมันไม่ใช่หนังแบบนั้นเลย มันเป็นดราม่าที่มืดหม่น มันคือ Revenge-Drama Horror แบบเดียวกับหนังอย่าง Bram Stoker's Dracula's หรือ Mary Shelly's Frankenstien  ที่เล่าเรื่องในฉากหลังแบบสมัยใหม่ และไม่หม่นหมองหดหู่จนขายไม่ออกใน Box Office  

เราชอบการทวิสต์ของจังหวะหนังที่เกิดขึ้นตลอดเวลาแต่ไม่กระชาก เหมือนคนขับรถเร็ว แซงปรู๊ดปร้าดแต่ไม่จี้ตูดคันหน้าและเบรคหัวทิ่ม เกตมะ คืออารมณ์ของแต่ละเหตุการณ์ในหนัง มันจะนิ่งๆ แต่คำตอบของมันจะตบหน้าเราแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เป็นจิตวิทยาสามัญที่เราพบเจอได้ในสังคมทุกวันนี้นี่แหละ แต่เราตอแหลกันไปเองว่ามันไม่ได้เกิดขึ้น

เอาเรื่องดาราก่อน เพราะหนังเกลี่ยบทให้ตัวละครที่ถือว่าหลายหลายมากๆ ได้มีส่วนร่วมในเส้นเรื่องกันแบบขาดใครไปสักคนไม่ได้ เราว่าความเด่นชัดของบทบาทที่ชัดเจนในแต่ละคัวละครนี้แหละ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ดันให้หนังสนุกมาก 



Kate Winslet (Tilly) เป็นอะไรที่ไม่ต้องพูดมาก เล่นเรื่องไหนก็ปังเอาหนังอยู่ สำหรับเรื่องนี้ เราว่าเคททำได้ดีมาก เคทไม่ theatrical เราชอบเธอ เธอสวยคลาสสิคและไม่ผอม ด้วยวัย 40 กะรัต เราว่าเคทสวยสมวัยที่สุดแล้ว ถึงจะดูแก่ไปนิดเวลาโครสอัปหน้าใกล้ๆมากๆ ซึ่งมีหลายตอน


Liam Hemsworth (Teddy) เล่นเป็นหนุ่มบ้านนาตากแดดตัวแดงที่ดูอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ ปกติเราไม่เคยมองว่าเลียมหล่อเลย เพราะสัดส่วนเครื่องหน้าไม่พอดีเท่าพี่ชาย แต่เล่นเรื่องนี้แล้วหล่อมาก สาวๆหลงกันเลยล่ะ


Hugo Weaving (จ่า Farret) คนชอบเยอะเพราะสร้างสีสันให้เรื่องมาก เป็นคีย์ไอเท็มของหนัง แต่เราเคยเห็นฮิวโกที่แรงมากกว่านี้สมัย Priscilla  


Judy Davis (Molly) แม่ของ Tilly นี่เลย สุดยอดของความพีค ขโมยซีนรัวๆ คือถ้าไม่ใช่เคท สงสัยบททิลลี่คงตาย ชอบนางมาก นางมี facial act ที่ร้ายกาจ นางดูน่าสงสาร ดูน่ารังเกียจ ดูตลก และดูฉลาดเฉลียว ครบถ้วนตามบทอย่างแท้จริง ส่วนตัวละครอื่นๆก็เล่นกันได้ดีทุกคน นักแสดงออสซี่มักมีของอยู่แล้ว

โลเคชั่นการถ่ายทำ ฉาก แสง โทนสี เสื้อผ้าหน้าผม ทุกอย่างสวยไม่ขัดใจ เพลงประกอบเพราะ รวมๆดีมากสำหรับสเกลหนังขนาดเล็ก 

สปอยล์จัดหนัก**
ทีนี้มาที่บทมั่งอันนี้แหละสำคัญ เรามองว่าบทของหนังเรื่องนี้เป็นการตีโจทย์เรื่องเพศ กิเลสของคนในสังคมอย่างชัดเจน หนังเล่นกับอารมณ์และสันดานของคนตรงๆ โดยเอาความตอแหล สร้างภาพ ทิฐิ อคติ ยะโส และอาฆาตพยาบาท มาเป็นคีย์เวิร์ดในการชี้นำการกระทำทุกๆอย่างของตัวละครที่เป็นเหตุให้เรื่องราวมันดำเนินไป .. นั่นคือพลังเงียบที่มองไม่เห็น เหมือนชีวิตจริงๆของคนเราที่ทุกวันนี้ เราก็ถูกอารมณ์ที่มีพลังเหล่านี้กำหนดชีวิตเราอยู่แบบเนียนๆ


คือพอหนังมันเริ่มเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ มันจะค่อยๆชัดเจนขึ้นๆ คือการที่ทิลลี่ถูกสังคมรังเกียจ มันเริ่มมาจากกระทำของเด็กเปรต สจ๊วต แพรท ที่แกล้งเธอ แล้วเธอก็มาโดนตัดสินจากอัลวิน แพรท ว่าเธอเป็นฆาตกร ต้องไล่ออกไปจากเมือง โดยสั่งให้จ่าฟาเรตต์เป็นคนมาจับไป คือทุกขั้นตอนที่เป็นปัจจัยหลัก ถูกกระทำโดยผู้ชายที่มีร่างกายเป็นชาย และมีอำนาจสูงสุดในสังคม ในขณะที่ผู้ที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์อย่างเกอร์ทรูท ครูบิวลาห์ ดันยืนเป็นพยานให้ทิลลี่เป็นคนผิด และแม้แต่มอลลี่ แม่ของทิลลี่เองก็ไม่สามารถช่วยลูกสาวของเธอจากการถูกใส่ร้ายนี้ได้เลย ผู้หญิงไม่มีบทบาทเชิงบวกในเหตุการณ์ครั้งนั้นแม้แต่นิดเดียว นี่เป็นการบอกให้เรารู้ว่า ผู้ชายคือผู้นำและผู้หญิงคือผู้ตาม และขนาดการคลี่คลายปมในใจของทิลลี่ ก็ยังเกิดจากเทดดี้ มาเป็นอัศวินม้าขาว ดึงทิลลี่ออกมาจากความมืดมิดในใจ 

การเอาแฟชั่นมาเล่นเป็นคีย์หลัก คือการตีโจทย์ที่ตรงประเด็นและเข้าใจง่ายที่สุด เพราะแฟชั่นคืออาวุธของสตรีอย่างแท้จริง จากการที่ทิลลี่คือหญิงที่ถูกสาบ เป็นคนนอกที่แปลกแยกและไม่เป็นที่ต้อนรับ ออกจะเป็นที่รังเกียจเลยด้วยซ้ำ กลับกลายเป็นคนที่ใครๆก็อยากคบหาในชั่วข้ามคืน เพราะเธอทำให้ผู้หญิงพวกนั้นดูสวยขึ้นในโอต์กูตูร์ที่เธอตัดให้ ผู้หญิงทุกคนอยากเป็นเพื่อนเธอ แม้แต่เธอเองที่ตั้งการ์ดกับสังคมนี้มาตลอด ก็เริ่มรู้สึกโน้มเอียงเข้าหาสังคมนี้เช่นกัน สังเกตได้จากการที่เธอยอมเปิดใจให้เทดดี้ที่ตามตื้อเธอมาตั้งแต่ต้น 

หนังสอนให้เราเข้าใจว่า มนุษย์นั้นมีความเป็นสัตว์สังคม เราถูกทำให้เชื่อในสิ่งที่สังคมบอกให้เราเชื่อ เราถูกทำให้เป็นในสิ่งที่สังคมบอกว่าเราเป็น และเราจะเป็นอะไรมากกว่านั้นไม่ได้ นอกจากว่าเราจะขึ้นมาเป็น"ผู้นำ"ในสังคมนั้นเอง ซึ่งฉากของหนังสะท้อนให้เห็นชัดเลยว่า ในสังคมขนาดเล็กมากๆอย่างในเมือง Dungatar ที่มีคนแค่ไม่กี่สิบคน สังคมยังมีอิทธิพลมากขนาดนี้ แล้วในสังคมใหญ่ๆที่มีคนอาศัยกันเป็นล้านคนล่ะ เราเองก็คือใครสักคนใน Dungatar นี่แหละ  และทันทีที่ทิลลี่กลายเป็นผู้นำ ในที่นี้คือเธอกำหนดทิศทางการแต่งตัวที่เป็น"เปลือก"ให้คนทั้งเมือง เธอเป็นที่ยอมรับทันที และดูเหมือนว่าเธอจะเริ่มทำให้อัลวิน แพรท ชายผู้ซึ่งเป็นผู้นำในเมืองนี้ เริ่มอึดอัดใจ จนทำสิ่งเลวร้ายตามที่เขาถนัดอีกครั้ง 

ถ้าเรามาดูพฤติกรรมของตัวละครทั้งหมด จะเห็นว่าจริงๆแล้ว มนุษย์นั้นต้องการสนองกิเลสของตัวเองทุกคน แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม การสนองนั้นมันไม่อยู่ในขอบเขตแห่งศีลธรรม มันจะนำมาซึ่งหายนะ

ทิลลี่ที่สวย เก่งและมีความสามารถ เหมือนจะมั่นใจตัวเองมากจนกล้าที่จะกลับมาที่ Dungatar เพื่อมาแก้แค้นแต่จริงๆแล้วเธออ่อนไหวและบอบบางมาก ตอนที่เธอนอนร้องไห้บนที่นอนและมอลลี่เข้ามาปลอบเป็นช่วงเวลาที่จริงที่สุดของเธอ เธอต้องการแม่ เธอต้องการคนที่รู้จักเธอจริงๆ ที่รักและดูแลเธอ นั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอกลับมา แท้จริงแล้วเธอไม่ได้กลับมาเพื่อแก้แค้น เธอแค่กลับมาหาสิ่งที่เธอผูกพันและยึดเหนี่ยวเอาไว้ต่างหาก เธอเดินทางไปไกลข้ามทวีป มีอนาคตที่สดใสที่ไหนก็ได้ แต่เธอเลือกที่จะกลับมาที่นี่หลังจากเวลาผ่านไปนับสิบๆปี ทิลลี่ เลือกที่จะกลับมาหาความจริง และไม่ว่าความจริงนั้นจะเป็นอย่างที่เธอคิดไว้ในใจรึเปล่า เธอก็ไม่แคร์ แต่เธอขอรู้มันด้วยตัวเอง และมันจะทำให้เธอมีความสุขขึ้น หรือเจ็บปวดขึ้น เธอก็ยอมรับมันได้ทั้งนั้น 

ในตอนจบ .... ทิลลี่ขึ้นรถไฟออกจากเมือง Dungatar สายตาที่มองไปยังบ้านที่เธอเคยอยู่ค่อยๆไกลออกไป มันช่างดูเฉยชาเหมือนคนที่ปลงได้กับชีวิต ว่าสุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน 
พลันเจ้าหน้าที่เดินตั๋วรถไฟถามเธอว่า เธอจะไปที่ไหน ทิลลี่ตอบลอยๆว่า ปารีส เจ้าหน้าที่รถไฟบอกกับเธออย่างงงๆว่า  รถไฟขบวนนี้ไปสุดสายที่เมลเบิร์นเท่านั้น ทิลลี่หันมามองเจ้าหน้าที่รถไฟแล้วตอบว่า "ค่ะ ถ้างั้นชั้นลงที่เมลเบิร์น" แต่สายตาเธอตอบชัดเจนว่า ชั้น.. จะไปปารีส พร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก ทิลลี่ดูสวยที่สุดในตอนนั้นนั่นเอง 
ทิลลี่คือเราทุกคน 
..เราที่มีความมั่นใจ แต่ก็ต้องการกำลังใจ 
..เราที่เก่งกาจ แต่ก็ต้องการคนยอมรับ
และสุดท้ายคือเราต้องเชื่อมั่นในตัวเราเองเพื่อที่จะได้เดินหน้าต่อไปได้









Sunday, October 4, 2015

วิจารณ์ภาพยนตร์ - Movie Review : The Martian - กู้ตาย 140 ล้านไมล์


จั่วหัวแบบนี้ จะด่ากันมั้ย : "The Martian คือเรื่องราวในห้วงอวกาศที่ดีเยี่ยมในแง่ของการเล่าเรื่อง ครบถ้วนทางรายละเอียดของเหตุการณ์แบบไม่ตกหล่น คนชมจับทุกอย่างได้ทัน แต่... ความสนุกในเชิงภาพยนตร์น้อยมาก มีแค่ท้ายเรื่อง ถ้ามันคือสารคดี จะให้10/10 เลย  แต่มันคือภาพยนตร์จอเงิน ขอให้ 6/10 พอละกัน"


**Spoiler Alert**
ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยายขายดีชื่อเดียวกันของ Andy Weir เล่าถึงภารกิจสำรวจดาวอังคารของยาน Ares3 ที่นำนักบินอวกาศที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่างๆไป 6 นาย 1 ในนั้นคือ Mark Watney (Matt Damon) นักพฤกษศาสตร์  ระหว่างการเข้าร่วมภารกิจในวันที่ 18 บนดาวอังคาร ก็บังเอิญเกิดพายุรุนแรงขึ้นจนทีมนักสำรวจต้องล่าถอยและทิ้งภารกิจนี้ไว้ พร้อมกับ Mark Watney ที่เพื่อนนักสำรวจที่เหลือทั้ง 5 คนเข้าใจว่าตายแล้ว ไว้บนดาวอังคารเพียงลำพัง

ผกก. Ridley Scott ไม่ใช่ ผกก.ในดวงใจของเราเท่าไหร่ หลังจากงานช่วงหลังๆของฮีค่อนข้างน่าผิดหวังมากกว่าน่าชื่นชม งานชั้นครูอย่าง Blade Runner หรือ Alien คือมาตรฐานที่สูงส่งมาก จนอดเทียบไม่ได้ ความอยากดูหนังที่ฮีกำกับไม่เคยอยู่ในหัวเรามานาน จนได้มาเห็น The Martian และคำวิจารณ์ในมุมบวก และคะแนนจาก IMDb ที่สูงมากถึง 8.5 ซึ่งถ้าคะแนนไม่ตก มันจะขึ้นชั้นกลายเป็น 100 หนังยอดเยี่ยมตลอดกาล... นั่นคือเหตุผลที่เราตัดสินใจเข้าไปดูในโรงภาพยนตร์

พอดูจบแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราคิดว่า มันทำให้หนังเรื่องนี้เป็นที่นิยมและถูกใจมากกว่าหนังอวกาศเรื่องอื่นๆ (ที่เราว่าดีกว่า) อย่าง Interstellar หรือ Gravity คือความต่อเนื่องของการเล่าเรื่องที่ดีเยี่ยม คนดูทุกคน ไม่ต้องคิดตามมากจนเหนื่อย ไม่ต้องเดาหรือนึกย้อนกลับไปที่ไหน ก็เข้าใจและตามเส้นเรื่องได้ทัน พร้อมกับรับชมความสนุกสนานระหว่างการดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆตั้งแต่ต้นจนจบได้ครบทุกเม็ด อันนี้คือข้อดีเด่นที่สุดของ The Martian 

งานภาพดี การผลิตดี บันทึกเสียงดี และดนตรีประกอบใช้ได้ ( เราคิดว่า เหมือนเอาสไตล์เสียงประกอบมาจาก Interstella เบาๆว่ะ) ดูสมจริง น่าเชื่อถือ 

แมต เดมอน ในบท Mark Watney เล่นดีมากนะ คือบทเหมือนจะส่งเสริมให้เล่นใหญ่ แต่ฮีก็เล่นออกมากำลังดี อันนี้ชอบ
เจสสิกา แชสทีน ในบทผู้ Melissa Lewis มีพลังนะ ไม่เยอะ แต่ปังมาก
เจฟ แดเนี่ยล มารับบท ผอ. นาซ่า ดูกวนตีน เย่อหยิ่ง และเป็นผู้นำที่เด็ดขาดดี ชอบสายตาฮี 
นักแสดงที่เหลือ ไม่ค่อยได้ออกมาเด่นแล้ว ก็เฉลี่ยๆบทกันไปิพราะดาราเยอะมากกกก 


โอเค ทีนี้มาถึงอะไรที่ไม่ถูกใจ 

เส้นเรื่องน้่นแหละ มันราบเรียบ และตรงเผงมาก มากจนไม่ตื่นเต้น แถมเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นที่น่าจะเป็นจุดหักของการดำเนินชีวิตของตัวละครต่างๆ ซึ่งจะมีผลต่อความสนุกของคนดู ก็ช่างไม่ตื่นเต้นเอาซะเลย ทุกเรื่องราวมันดู ... เออ มันก็ได้นิ เออ มันมีอันนี้นิ เออ เดี๋ยวไอ้นี่จะมาช่วยนิ อะไรแบบนี้ คือมันมีคำตอบของคำถามมารองรับเหตุการณ์ตลอดแบบทันท่วงที แบบไม่ต้องให้คนดูได้มีเวลาคิดและมโนเอาเองเลยว่า เห้ย เดี๋ยวมันจะทำไงต่อวะเนี่ย เจอแบบนี้เข้าไป !!! นั่นคือสเน่ห์ของการชมภาพยนตร์นะ คือการทิ้งคำถามหรือประเด็นในเหตุการณ์ต่างๆให้คนดูลุ้นในใจว่า มันจะเป็นยังไงต่อ ซึ่ง The Martian ไม่มีเลย แม้แต่ตอนท้ายเรื่องที่พีคมาก ก็ยังลุ้นน้อยมากกว่าหนังอวกาศเรื่องอื่นๆ นี่แหละที่เราไม่ชอบ

หนังย่าง Gravity (2013) ถ้าใครดูมาแล้ว จะเข้าใจว่า อะไรคือการลุ้นและตั้งคำถามในหัวไปพร้อมๆกับการชมภาพยนตร์ และมันสนุกที่ได้คิดในใจว่า เห้ย น่ากลัวมากกกก มันจะจับเชือกทันมั้ย มันจะรอดมั้ย เห้ยยยย หลุดแล้วววววว อะไรแบบนี้อะ มันคือการมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับภาพยนตร์ ซึ่งใน The Martian  ถึงเราจะลุ้นนิดๆกับตัวละครก็จริง แต่มันไม่ถึงกับอิน เพราะด้วยเส้นเรื่องและจังหวะหนัง มันมีคำตอบที่เรารู้แน่ๆรออยู่ทันทีตลอดทั้งเรื่อง  

ถ้าจะบอกว่า มันคือ Apollo 13  บวกกับ Gravity  ที่เอาความโชคร้ายทั้งหมดออก แล้วใส่แต่ความโชคดีเข้าไป พร้อมการเล่าเรื่องแบบสารคดี ออกลูกมาเป็น The Martian ก็คงไม่ผิด


สรุป : หนังอวกาศที่ควรไปดู เป็นหนังที่เล่าเรื่องดีมาก แต่ไม่ใช่หนังสนุกที่เรารัก 




Monday, March 23, 2015

รีวิว - Review : Aēsop B triple C Balancing Gel



แจกรางวัลให้ #F นะ .. กับ #bigNONO #อีกศพ กระปุกนี้ แถมราคาสูงปรี๊ดที่ $161AUS • ส่วนผสมที่ดีมีแค่อย่างเดียวคือ วิตามิน C ที่เยอะพอทำปฏิกิริยากับผิว • แต่ก็มาพร้อมด้วยน้ำมันหอมระเหยหลายชนิดที่กลิ่นสดชื่นใจจัง แถมมีแอลกอฮอลล์สูงเกิน 15% • แล้วผิวจะดีได้ไง เหมือนกินน้ำเสาวรสคั้นสดพร้อมแจ็คแดเนี่ยล คงจะดีต่อตับสินะ • แถมยังมาในกระปุกแบบนี้ เปิดทีเดียวพออากาศเข้าไป วิตามิน C ที่เคลมว่าดีก็หายไปเกือบหมดละ • สรุปว่า #Aēsop กระปุกนี้ราคาแพงเว่อร์ และใช้แล้วหน้าพังระยะยาว • แต่ถ้าใครรวยจัด ซื้อมาแต้มสิวอักเสบดีนะ เพราะกลิ่นและฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อจากน้ำมันหอมระเหยก็ใช้ได้ผลเลย • แต่เราขอซื้อ CM โลชั่นโง่ 59 บาทดีกว่า ^^ สงสัยว่า แบรนด์อย่าง  Aēsop • Jurlique (พังกว่าอีกกก) หรือพวกที่เน้นว่ามาจาก Essential Oil ทั้งหลายเนี่ย คงจะต้องใช้แค่ครีมทามือ ลิปส์บาล์ม น้ำมันล้างหน้า อะไรแค่นี้แหละที่ดี เพราะเน้นกลิ่นอะ  #kobereview #skincarereview #livinglonger
ขอบคุณ @s_i_a_n_g ที่ให้มาลองนะจ้ะ

วิจารณ์ภาพยนตร์ - Movie Review : Cinderella - ซินเดอเรลล่า



Cinderella (2015)

Kobe's Meter 10/10

ภาพยนตร์จากเทพนิยายที่ตีความได้ตั้งแต่อมยิ้มจนถึงผ้าอนามัยใช้แล้วของพี่น้องกริมม์  ที่ทำออกมาได้สมบูรณ์ที่สุด เป็นนางซินในปี 2015 ที่เก็บทุกเม็ดของเวอร์ชั่นดั้งเดิมเมื่อปี 1950 มาแบบไม่เสียของ แต่กลับมาปลุกฝันในวัยเด็กยุคไร้มลภาวะให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เป็นงานดีของดิสนีย์ที่ควรให้คะแนนเต็ม ต่างจาก Frozen สุดฟรุ้งฟรี้งอันแสนน่าเบื่อ หรือ Maleficent ที่ตีความใหม่จนด้านมืดที่เป็นของตรงข้ามกับด้านสว่างหายไปหมดจนโลกสวยเกินไป   

Cinderella 2015 คือการทำของที่ดีอยู่แล้วให้สดใสขึ้น และพัฒนารายละเอียดให้ผู้ชมได้เสพกันได้อย่างอิ่มเอมขึ้นในรูปแบบคนแสดง  และในขณะที่บางคนมองว่า มันซำ้ซากและน่าเบื่อที่จะต้องมาดูเรื่องที่รู้กันอยู่แล้วว่าหัว-หางเป็นยังไง แถมไม่เปลี่ยนอะไรเลย  เรากลับคิดต่างว่า Cinderella เป็นของ Classic ถ้าไปเปลี่ยน มันก็ไม่ใช่ และอะไรที่ดีงามอยู่แล้ว  ก็แค่ทำออกมาใหม่ให้มีคุณค่าขึ้น  ถ่ายทอดให้คนสมัยใหม่ได้เข้าใจมากขึ้นก็พอ สี่แผ่นดิน ดีงามอย่างไร ทำออกมากี่ครั้งก็ไม่ต้องไปเปลี่ยนอะไรก็ดีงามอย่างนั้นถูกมั้ย เหมือนละครเวทีระดับโลกอย่าง Cats หรือ Wicked  เค้าก็แสดงกันทุกค่ำคืนมาหลายสิบปี เปลี่ยนทีมแสดงแต่ก็แทบไม่เคยเปลี่ยนบทละคร  แต่คนที่เข้าไปชม ก็ยังอยากไปชมอีกซ้ำๆ  ก็มันดีอยู่แล้ว จะดูกี่ทีมันก็ดีงามนะเราว่า ถ้าชอบแบบตีความใหม่  ก็ไปดู Into The Wood  อะไรแบบนั้นไปเลยดีกว่า  **คหสต

ผกก. Kenneth Branagh คือนักแสดง ผกก ผู้ผลิต ภาพยนตร์ สามีของคุณนาย Emma Thomson นะ และฮีก็ทำหนังดีหลายเรื่องมากที่ได้กล่องแต่ไม่ได้เงินนี่เยอะมาก แต่ถ้าเอาแบบขึ้น BoxOffice จริงจังก็ Thor 2011 ฮีเป็นคนขอทำโปรเจคต์นี้กับดิสนีย์แบบออกตัวแรง เพราะฮีบอกว่า ด้วยเนื้อเรื่องและเหตุการณ์ต่างๆที่ฮีมอง Cinderella มันต้องเกิดขึ้นแถวๆ Ireland บ้านฮีแน่ๆ เชื่อฮีสิ อืมมม มิน่า สำเนียงในภาพยนตร์ถึงช่างเป็นไปทางนั้นมากกกก

ทีนี้มาที่ดารานะ 

น้อง Lily James ที่ดูจากใบปิดแล้วรู้สึกว่านางไม่งามเท่าไหร่  แต่เอาจริงๆ พอเห็นนางแค่ยิ้มเท่านั้นแหละ น้องสวยงามมาก น่ารักจนอยากมอบใจให้เลยจริงๆ ยิ้มสดใสฟันจอบขาวจั๊ว คิ้ว ตา ดูเป็น Cinderella ที่ดีที่สุดแล้ว ดีใจที่ Emma Watson ไม่เลือกบทนี้ แล้วไปจับบท Belle ใน โฉมงามกับเจ้าชายอสูร ปี 2017 แทน  

ส่วนพ่อพระเอก เจ้าชาย (ที่ในภาพยนตร์ไม่ใช้ Charming แล้ว) ที่แสดงโดยตา Richard Madden หรือ ที่น่าจะคุ้นๆกันดีกับบท Robb Stark ใน Game of Thrones ก็หล่อดี ตาสีฟ้าสุกสกาวชวนให้หลงใหล แต่ใครๆก็เอาแต่พูดถึงเป้าอูมๆตุงๆนั่นกันจนแทบไม่มองหน้า คือกางเกงผ้าสเปนเดกส์แบบนี้ ใครใส่ก็เห็นหำแบบนี้กันถ้วนหน้า สงสารจัง  หุหุ 

แม่เลี้ยงใจร้าย คุณนาย Cate Blanchett ก็สวยงาม เลอค่า และน่าตบอยู่ไม่หยอก แต่เอาจริงๆ นางใช้สายตาหนักหน่วงมากในการแสดงเรื่องนี้ หาได้ over-act ไม่ ซึ่งก็ทำได้ดีตามการ์ดพลังด้านการแสดงที่นางมีมาแบบเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว สายตานางทำให้เราเชื่อว่า อีนี่มันต้องแอบเอาของในบ้านออกไปขายแลกเงินแน่ๆ  แต่คือนางสวย ชุดนางโอต์กูตูร์จริงจัง แพงสุดในเรื่อง บอกเลย

สุดท้ายที่พูดถึงสักหน่อย นางฟ้าแม่ทูนหัว ป้า Helena Bonham Carter มารับบทได้น่ารัก ยวนยี และเพี้ยนเบาๆ เป็นหนึ่งในมุขตลกสวยๆในเรื่องที่น่าจดจำ แถมนางคือ narrator ของเรื่องด้วย เสียงนางล้วนครับ


เรื่อง production ไม่ต้องคิดมาก อลังการ เว่อร์วัง และหรูหรา
เสื้อผ้า หน้า ผม เยี่ยมมาก รองเท้าแก้วเวอร์ชั่นนี้ ถ้าเทียบกับ Ever After สมัย Drew Barrymoore ดูแพงและใส่ไม่ได้จริงกว่ามากมาย แต่มันสวยว่ะ ยอม  รถฟักทอง และอุปกรณ์ประกอบราชรถ สวยงามวิจิตร ฉากแปลงร่างที่ได้เซลเลอร์มูนมาสอนหมุนตัว เป็นอะไรที่ตระการตามาก  ฉากท้องพระโรง ก็ปกติ แต่พระราชวังที่มองจากมุมสูงนั้น ทำให้คันอยากไปเที่ยวยุโรปเดี๋ยวนี้ มันสวยมาก 


แต่สิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด คือความรู้สึกที่ได้รับจากภาพรวมทั้งหมดของภาพยนตร์ ที่เหมือนเปิดสมุดภาพนิทานสี่สีเก่าๆทีละหน้าทีละหน้า แต่โดดเด้งออกมาสมจริงขึ้นข้างหน้าเรานี่แหละ ที่เรายอมให้ไปเลย 10 คะแนนเต็ม  


"Have courage and be kind" อาจเป็นเรื่องยากที่จะยึดมั่นและกระทำ แต่ถ้าเราทำได้ เราก็จะงดงามไม่แพ้ Cinderella นะเคอะ 

จบ  

ปล. ตอนจบท้ายเครดิต ยัยป่วง Helena Bonham Carter จะบ่นออกมาว่า "อ้าวว  คนหายไปไหนกันหมดเนี่ย" ถ้าจะรอฟังก็เชิญ