Saturday, November 23, 2013

วิจารณ์ภาพยนตร์ - Movie Review : The Hunger Games : Catching Fire เกมล่าเกม 2



The Hunger Games : CATCHING FIRE (2013)


Kobe's Meter : 9/10


ขอออกตัวก่อนว่า ไม่ใช่แฟนตัวยงหนังสือซีรีย์นี้  แค่ซื้อมาอ่านเพราะเห็นว่าน่าจะสนุก ซึ่งก็สนุกจริงๆ แต่โดยส่วนตัวสำหรับตัวหนัง บอกเลยว่า ไม่ปลื้มภาคแรกเท่าไหร่ เพราะ ผกก. และ Casting ทำผมหัวใจสลายมากในภาคเปิดตัวจนแทบไม่อยากดูภาคสองเลย

แต่ด้วยความที่หนังสือนั้น ภาคสองมันพีคมากๆ เลยแบบ เอาวะ!! ไปดูก็ได้ แล้วยิ่งพอรู้ว่า ผกก. เปลี่ยนตัวจาก Gary Ross (Big 1988 , Plasantville 1998, Seabiscuit 2003) ผู้ซึ่งถนัดหนังแนวดราม่า ปรัชญามากกว่า มาเป็น Francis Lawrence ( Constatine 2005 , I am LEGEND 2007) ผกก.ที่ได้เครดิตมาจากการเป็น ผกก.มิวสิควีดีโอวัยรุ่นจ๋า อย่าง I'm a slave for U ของนังหอก  และหลายๆ MV ของนัง J.Lo แล้วก็ถึงกับคันตาอยากดูตะหงิดๆ เพราะ The Hunger Games มันต้องให้คนประมาณนี้กำกับ  เพราะหน้าหนังมันไปอยู่ที่อนาคตที่มีคน Gen X Y Z ไปแก่รออยู่ ภาพรวมต่างๆมันเลยต้องออกมาในสไตล์คนที่สร้างเทรนภาพยุคนั้น ซึ่ง Francis Lawrence ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ!! มันแซบมาก

The Hunger Games : CATCHING FIRE นั้น เล่าเรื่องต่อยอดหลังจากที่เกมล่าเกมครั้งที่ 74 จบลง และได้ผู้ชนะ 2 คนจากเขต 12 คือ Katniss Everdeen และ Peeta Mallark  ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เกมล่าเกมที่มีผู้ชนะร่วม 2 คน ซึ่งเหตุก็มาจากความสตอเบอแหล ดราม่า และบ้าดารา โหยหาความรักจากประชาชนตีนแดง ตะแคงตีนเดินใน Capitol นั้น เกิดอินไปกับความรักออนแอร์(แหลๆ) ของ Katniss และ Peeta จน GameMaker อย่าง Seneca Crane ต้องยอมแหกกฎจนตัวเองโดน ปธน. Snow จอมลวงโลก สั่งประหารซะเอง เนื่องจากไม่พอใจในการมีตัวตนอยู่ของ 2 Supตาขวัญใจมหาชน Katniss และ Peeta จนอาจสร้างความสั่นสะเทือนในอำนาจแบบเบ็ดเสร็จที่เขามีอยู่ในมือ





ในครั้งนี้ ปธน. Snow มีแผนที่จะจัดการกับ Katniss / Peeta และผู้ชนะเกมในปีก่อนๆทั้งหมดแบบเจ็ดชั่วโคตร โดยมี Plutarch Heavensbee (เฮีย Philip Seymour Hoffman) ที่อาสามาเป็น GameMaker คนใหม่ผู้มาแทน Seneca Crane โดยงานหลักคือมาเพื่อจัดเต็มใส่ผู้เข้าแข่งขันหรือที่เรียกว่า เครื่องบรรณาการ จาก 12 เขต เขตละ 2 คน เพื่อให้ความตั้งใจในการกำจัดเสี้ยนหนามของ ปธน. Snow สำเร็จลุล่วงได้ โดย The Hunger Games ในคราวนี้ จัดขึ้นเป็นปีที่ 75 ซึ่งทุกๆ 25 ปี เกมล่าชีวิตเกมนี้จะถูกเรียกขานในชื่อ Quarter Quell ซึ่งจะเป็น Quarter Quell ครั้งที่ 3  สำหรับความพิเศษของ Quarter Quell นั้น คือการตั้งกฏ กติกา มารยาท และเกมการแข่งขันขึ้นมาใหม่ ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์เดิม ในครั้งนี้ กฎก็คือการจับฉลากเอาเครื่องบรรณาการ โดยใช้เฉพาะชื่อผู้ชนะรายเดิมในเขตนั้นๆทั้ง 12 เขต ทั้งหญิงและชาย ให้กลับเข้ามาใน Arena ที่อลังการมากกว่าภาคที่แล้ว เพื่อเข่นฆ่ากันจนเหลือผู้ชนะเพียงคนเดียวนั่นเอง .... ซาดิสต์สัส!!





หนังเล่าเรื่องที่ชีวิตหลังได้รับชัยชนะของ Katniss และ Peeta ซึ่งก็ยังคงต้องรักษาภาพคู่รักหวานแหววดูดดื่ม ขวัญใจมหาชนต่อไปอย่างเกร็งๆ โดย Katniss นั้น ยังดูกระด้างกระเดื่องกับ Peeta ไม่ต่างจากเดิม ในขณะที่ Peeta ดูจะมีใจกับ Katniss ชัดเจนมากขึ้น  ตรงนี้เล่าเรื่องได้ดี ชัดเจน กระชับ และอินมากครับชอบ

เรื่องราวต่อมาคือช่วงที่ผู้ชนะจะต้องเดินสายไปตามเขตต่างๆทั้ง 11 เขตที่เหลือตามหน้าที่ เหมือนเป็นการเดินสายนางงาม ซึ่งจะต้องทำทุกอย่างตามสคริปต์ โดยนัยยะหลักตามธรรมเนียม คือสี้างความกดดัน หมั่นไส้ และรังเกียจกันระหว่างคนต่างเขตกัน เนื่องจากผู้ชนะที่มาแวะเวียนทักทายนั้น คือคนที่ฆ่าคนในเขตนั้นๆตายเพื่อชัยชนะนั่นเอง

แต่ผลกลับออกมาตรงกันข้าม เนื่องจากนาง Katniss และ Peeta ไม่พูดตามบท แต่พูดออกมาจากใจ จนผู้คนเริ่มรับรู้ถึงความหวังที่จะลุกฮือ ต่อต้าน  Capitol  จนทำให้ ปธน. Snow เกิดอาการไม่พอใจขึ้น จนเป็นเหตุของกฎ Quart Quell สุดโหดนั่นเอง

ตรงนี้เป็นช่วงปูอารมณ์คนดู และสะเทือนอารมณ์มากพอสมควร rence

และก็มาถึงช่วงพีคสุดๆของเรื่อง คือนับจากการประกาศกฎนรก Quarter Quell ครั้งที่ 3 ปั๊ป หนังก็สนุกขึ้น สนุกขึ้น พีคขึ้นแบบดูไปเกร็งไปลุ้นไป โดยเฉพาะฉากใน Arena ที่ทำออกมาสมจริง อลังการ โดยที่จังหวะจะโคนการกำกับภาพและดนตรีประกอบนั้น ระทึกขวัญสุดๆ ฟินมากบอกเลย

การแสดงของ Peeta ดูดีขึ้นมาก ดูเป็นคนฉลาด สุขุมและเริ่มหล่อกว่าตอนภาคแรกมาก โอเคแล้วนะ Peeta ลงตัว ให้อภัยจากภาคก่อนที่ fail มาก!!!

ยัย Lawrence ไม่ต้องสนนาง นางเป็นคนมีของ ยิ่งดูนางนานๆจะยิ่งหลง จริงๆนางเล่นหนังเก่ง แต่ภาคหนึ่งนางดูโวยวายไปหน่อย ภาคนี้ชินละว่านางเป็นแบบนี้ ก็ โอเคนะ

แต่ยัย Johanna  Mason (Jena Malone น้องฟันจอบจาก Step Mom) นี่สิ inner พุ่งมาก โผล่มาทีก็ขโมยซีนสุดๆ ชอบนางอ่ะ เป็นสีสันมากๆ

ส่วน Finnick Odair (Sam Claflin) ก็หล่อล่ำถูกคาแรคเตอร์มาก ผู้ชายใน Arena ที่เป็นคีย์เวิร์ดของเรื่องทั้งหมดมันต้องให้ได้เท่านี้

อีกคนที่ต้องปรบมือเพราะเป็นอะไรที่กระตุ้นต่อมรังเกียจ Capitol ฉิบหายเลย ก็คือ Caesar Flickerman รับบทโดยท่าน Stanley Tucci โอ้โห ... อาต๋อย ทูไนท์โชว์ยังต้องหลบ แม่งงงง ตอแหลออกอากาศได้น่าหมั่นไส้มาก


ในส่วนภาพ ฉาก CG ใน ARENA ไม่ต้องพูดถึง เค้าบอกว่าทุนสร้างมากกว่าภาคแรกเท่านึง!! อูยย มิน่า ออกมาสวยงาม อลังการ สมจริง และ เยอะสมราคา คุ้มค่าตั๋วจอ ENIGMA ณ พารากอนเลยล่ะ บอกเลย!!

ดนตรีประกอบ จากพ่อ James Newton Howard คือแบบ... ต้องพูดอะไรมั้ยอะ กับท่านพ่อคนนี้ เอาเป็นว่า คนยุคผม ดู The Fugitive (1993)  ได้อย่างตื่นเต้นฉี่จะราดเพราะดนตรีประกอบนั้น เป็นยังไงไปหา DVD ดูเอาเองนะ ไอ้พวกเกิดช้า ส่วนเครดิตหลังๆที่สร้างชื่อให้ท่านพ่อคือ The Sixth Sences (1999) , One Fine Day (1996) , Kingkong (2006) ,etc.. โหย พ่อเค้าเก่งทั้งบู๊ทั้งบุ๋นจริงๆนะ สุดยอดมากเลยใน  CATCHING FIRE เนี่ย ชนะเลิศ มีเข้าชิงแน่ๆ ฟันธง!!

เพลงใน Catching Fire ก็เก๋ขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้นไม่เบานะ เพลงเด่นสองเพลงอย่าง Atlas (Coldplay) และ We Remain (Christina Aguilera) นอกจากจะเพราะติดหูจับใจแล้ว  ยังมีความหมายลึกซึ้งมากทีเดียว โดยเฉพาะกับ We Remain ของนังติ๊ขวัญใจผู้เขียน ที่เหมาะเหลือเกินกับการใช้เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของ Catching Fire มันสร้างกำลังใจว่า "นัง Katniss หล่อนต้องสู้นะ อย่าถอยนะ ชะนี!!"

สรุปอย่างง่ายๆ ว่าไปดูเหอะ ภาคนี้ รักเลย มันสนุกมาก ผู้เขียนเองไม่ชอบภาคแรกเลยจนไม่คิดจะเขียนวิจารณ์ แต่ว่าภาคนี้มันใช่อะ แซบมาก แฟนหนังสือน่าจะชอบขึ้นแน่ๆ แถมคนดูหนังเปล่าๆที่ไม่เคยอ่านหนังสือมาก็น่าจะหันมาเป็นแฟนได้เลย เพราะมันเหนือชั้นขึ้นมาก สร้างมาตรฐานใหม่ให้หนังแปลงไตรภาคให้ดูงดงาม มีคุณค่าขึ้น หลังจากที่ความสำเร็จของ Twilight ทำเอาเครดิตหนังสร้างจากนิยายตกฮวบไปมาก .... ขอให้สนุกครับ



ปล. ยัยเอฟฟี่นางน่ารักนะภาคนี้ ชุดชนะ แถมยังทำตัวดี inner ทะลุเมคอัพ 6 นิ้วออกมาได้น่ารักมากๆๆๆๆ ลืมชมนางข้างบน 5555














Thursday, November 21, 2013

วิจารณ์ภาพยนตร์ - Movie Review : Any Day Now วันหนึ่ง วันหน้า วันที่รักจะมาถึง

















https://www.youtube.com/watch?v=7ghwGOuuNy0


Any Day Now (2012)

Kobe's Meter : 8/10


ภาพยนตร์ทุนสร้างน้อยนิด แค่ 2 แสนเหรียญเรื่องนี้ อัดแน่นไปด้วยสารพัดดาราดีๆ ที่ตบเท้ากันมาช่วยโปรเจคต์หนังเรื่องนี้ให้ลุล่วงออกมาได้ และได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามจากสารพัดสถาบัน แต่ไม่ประสบความสำเร็จนักในทางรายได้ เนื่องจากจำนวนโรงฉายอันน้อยนิด บ้านเราก็เพิ่งเอามาฉายแบบจำกัดโรงที่ลิโด้ เฮาส์อาร์ซีเอ และเครือเอสเอฟ เมื่อเดือนสิงหาที่ผ่านมา 




ราวที่สร้างจากเรื่องจริงที่โด่งดังในปี 1979 เกี่ยวกับเด็กน้อย อายุ 14 ย่าง 15 ปี ชื่อ Marco  (Isaac Leyva) ที่มีอาการดาวน์ซินโดรม แถมดันโชคร้ายมีแม่ขี้ยาและมั่วเซกส์ ทิ้งให้เขาต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมแย่ๆ และไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม



วันนึง ตำรวจก็เข้ามาจับกุมตัวแม่ของ Marco ไปเนื่องจากคดียาเสพติด ทิ้งให้เด็กน้อยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างเขา ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว และกำลังจะถูกพาไปอยู่สถานสงเคราะห์ .. 

ในขณะที่นางโชว์แดรกควีนส์ตัวกลั่นที่อาศัยอยู่ห้องข้างๆอย่าง Rudy ( Alan Cumming) ทนรับกับเรื่องต่างๆที่เขาคิดว่า อาจกำลังเกิดขึ้นกับ Marco หลังจากนี้ไม่ได้ จึงพยายามหาทางรับ Marco มาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมร่วมกับคนรักที่คบกันอย่างหลบๆซ่อนๆ คือทนายหนุ่มหล่ออนาคตไกลอย่าง Paul Garret Dillahunt )

ภาพยนตร์สื่อเรื่องราวการกีดกันทางเพศในสังคมยุคนั้นอย่างชัดเจนในทุกๆแง่ และประเด็นหลักในเรื่องของสิทธิของเด็กพิการทางสมองก็ตีโจทย์ออกมาด้วยบทที่เข้าถึงง่าย กว่า 30 ปีที่แล้ว การเป็นเกย์อย่างเปิดเผยนั้นไม่เป็นที่ยอมรับเลย แถมคนส่วนมากในสังคมยังคงตั้งป้อมรังเกียจพวกรักร่วมเพศ ว่าเป็นพวกประหลาด วิตถาร และมีความผิดปกติทางจิตใจ บวกกับเด็กปัญญาอ่อนคนนึง ... หนทางสู่ความเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์นั้น ริบหรี่ยิ่งกว่าแสงในก้นทะเลลึกซะอีก


ความยอดเยี่ยมของ Any Day Now คือการแสดงที่มีชีวิตของดาราทุกคน โดยเฉพาะ Alan Cumming ที่แสดงได้ดีมากจนขอเป็นแฟนคลับเพิ่มอีกคน ธรรมชาติอย่างที่สุดจนน่าคิดว่า ถ้า Acedemy  ไม่สนใจ Cumming บ้าง ก็คงน่าตบสุดๆ  นอกจากนี้ การคุมโทนการแสดงของนักแสดงคนอื่นๆทุกคน ก็ดูกำลังดี ไม่ over-acted มากจนดูตั้งใจจะให้คนดูคล้อยตาม ทุกคนสวมบทบาทได้ดูดี มีเสน่ห์ คาแรคเตอร์ชัดเจนตามพื้นฐานตัวละครทุกคน

อีกคนที่ต้องพูดถึง คือน้อง Isaac Leyva ที่รับบทเป็น Marco  ซึ่งตัวตนจริงๆ เป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา หรือ ดาวน์ซินโดรมจริงๆ  แต่การแสดงต่างๆที่ออกมานั้น ดูเกินกว่าสติปัญญาตามความบกพร่องของน้องมาก โดยเฉพาะสายตาและคำพูด ยอดเยี่ยมมากจนต้องชม ผกก.  Travis Fines ที่เก่งมาก และเอาอยู่



อีกหนึ่งจุดคือ ภาพยนต์ไม่บีบคั้นคนดูด้วยอารมณ์แบบเมโลดราม่า ด้วยการใช้มุมกล้องที่ไม่ตั้งใจบีบให้เราอิน ... แต่พอซีนนั้นๆผ่านมา เราจะออกอาการเงิบ และอินไปเองด้วยสายตา คำพูด และท่าทางต่างๆของตัวละคร เป็นหนังที่มีผลกระทบทางใจหลังภาพยนตร์จบมากสุดๆเรื่องนึง คือดูจบแล้วก็ออกมาคิดต่อ น้ำตาไหลต่อนอกโรงได้  โดยเฉพาะฉากที่ Marco ถูกรับตัวมาอยู่ที่บ้านของคู่รักเกย์วันแรก (นาทีที่ 1:33 ในเทรลเลอร์ด้านบน) เมื่อเดินขึ้นไปถึงห้องนอนที่ถูกจัดเตรียมไว้ต้อนรับเขาอย่างดี เขาพูดออกมาว่า "I am so excited" มันมีพลังมาก มากพอที่จะทำให้คนเห็นแก่ตัวสักคนนึง อยากลุกขึ้นมาทำอะไรดีๆให้คนอื่นบ้าง เพื่อจะได้สัมผัสช่วงเวลาที่เรามีความสุขกับการเป็นผู้ให้ แบบวินาทีนั้น



ไม่ขออธิบายมาก เพราะดราม่าแบบนี้ ต้องดูเอง แต่สิ่งที่คุณจะได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้คือ " ความเป็นคน " กระตุ้นเตือนใจเราถึงเหตุผลที่เราต่างจากอะไรที่ไม่ใช่คน ว่ามันคืออะไรครับ 

เรารู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเราเป็นคน เรามีปัญญาต่างจากสัตว์ แต่ปัญหาคือ เราเลือกที่จะทำสิ่งนั้นรึเปล่า .. และนั่นแหละคือคำตอบของ Any Day Now ครับ

Tuesday, October 8, 2013

วิจารณ์ภาพยนตร์ - Movie review : About Time ย้อนเวลาให้เธอ (ปิ๊ง) รัก





About Time (2013)

Kobe's Meter : 10/10

About time เป็นหนังโรแมตติก คอมมาดี้ ผสมดราม่า ที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตแต่ละช่วงวัยของผู้ชายคนนึงที่สามารถเดินทางข้ามเวลาไปยังอดีตของตัวเองได้ มันสนุก ตลก มีชีวิตชีวา และยังมีความลุ่มลึกในทุกฉากทุกตอน อย่างไม่น่าเชื่อ

บท : เป็นหนังที่เอาความเหนือธรรมชาติมาเล่นกับการใช้ชีวิตตามรูปแบบมนุษย์ในสังคมปกติ ชายคนนึงที่ต้องก้าวผ่านวัยรุ่น ตกหลุมรัก สูญเสีย และถูกคาดหวัง ... ต้องสร้างครอบครัว และทำมันให้ดีที่สุด นี่มันคนจริงๆ 

บทเขียนได้ลุ่มลึกทุกจังหวะของชีวิตของตัวเอก โดยเฉพาะในมุมของครอบครัว คนดูไม่ต้องพยายามคิดตามมาก เพราะเหตุการณ์ต่างๆในหนัง ล้วนเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดกับเราๆท่านๆทุกคน (อย่างน้อยคุณก็เคยตกหลุมรักใครสักคนแหละน่า) คำพูดต่างๆในหนัง มีความเรียบง่าย แต่มันช่าง.... มีพลัง เพราะมันไม่ได้สวยงามเกินจริง แต่ทุกคำพูด ทุกบท ทุกตอน ล้วนเกิดขึ้นจริงกับเราๆท่านๆในทุกๆวัน จนพาให้เราคิดไปเองว่า "นี่มันชีวิตกูนี่หว่า" โดยเฉพาะผู้ชายที่ตอนเด็กๆเป็นไอ้ขี้ป๊อดนี่จะโดนมาก

ผกก. ผู้เขียนบท : 1st class นี่ไม่ได้เกินจริงเลย สำหรับ Richard Curtis  ผมเคยคิดว่า ผกก.ท่านนี้ได้ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของการทำงานมานานแล้ว ตั้งแต่หนังสารพัดดีเลิศอย่าง Four Weddings and a Funeral (1994) / Nothing Hill (1999) / Love Actually (2003) และอีกสารพัดหนังดี บทเด่น แม้แต่หนังโคตรดีที่เงียบมากในบ้านเราอย่าง War Horse (2011) ก็ฝีมือท่าน Richard Curtis ทั้งนั้น ... แต่บอกเลย ว่าการกำกับและเขียนบทในเรื่อง About Time นั้น เป็นคนละเรื่องกับงานที่ผ่านมาทั้งหมด เพราะมันเรียบง่ายมาก แต่มันเต็มไปด้วยเหตุผลและข้อคิดดีๆ นี่คือมาตรฐานใหม่ของวงการหนังรัก คือไม่หวือหวา ไม่ต้องเว่อร์ ไม่ต้องเพ้อฝัน แต่ออกมาน่าจดจำและไม่มีวันลืม!!! โคตรเก่ง!!! อธิบายไม่ได้เลย ต้องไปดูเองเท่านั้น .. ขอร้อง


ดนตรี เพลงประกอบ : เนื่องจากเป็นหนังอังกฤษจ๋ามาก เพลงก็โคตรอังกฤษเลย เพลงประกอบเพราะมากจนอยากซื้อซีดีมาเก็บ ลงตัว เข้ากับจังหวะและสถานการณ์มากๆ  ใครเคยชอบหนังเพลงเพราะอย่าง Love Actually / Bridget Jones Diary ก็นึกภาพตามได้เลย 



นักแสดง : อยากให้ดูพระเอก Dohmnall Gleeson ให้ดีๆ (Anna Karenina 2012 / Harry Potter and the Deathly Hallows 1-2 2010-2011) ไอ้เด็กหน้าจืด ผมจินเจอร์แฮร์ ไร้เสน่ห์ ผอมแห้ง หน้าแก่เกินวัย แถมเดินเอียงๆด้วย ... คุณพระ !! มันไม่ใช่คนที่น่าเดินเข้าไปจีบเลยแม้แต่น้อย 

แต่พอหนังจบปุ๊ป ใครไม่หลงรักผู้ชายคนนี้ให้ถีบยอดหน้าเลย.. สาบาน!! บทส่งให้คนไม่เข้าตา กลายเป็นคนที่น่ากอดที่สุดในโลกได้อย่างไร ต้องไปดู .. 

ประเด็นคือ เราอย่าด่วนสรุปคนคนนึงเพียงเพราะเปลือกของเขา คนคนนึงจะเป็นที่รักได้มากแค่ไหน ก็อยู่ที่ความดีของเขามันมีพอให้น่ารักรึเปล่า ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เราเห็นด้วยตาและเปลือกที่ฉาบเอาไว้ 

มันทำให้เรามองคนรอบข้างดีขึ้น ใจกว้างมากขึ้น และมีความสุขมากขึ้นนะ ... ที่ได้มองคนให้ลึกขึ้นบ้าง ใช้เวลาให้นานขึ้นบ้าง .. จริงๆ


สรุปง่ายๆ : นี่คือหนังฟีลกู๊ดสำหรับคนจิตใจดี มีความศรัทธาในความรัก ให้ความสำคัญกับคนรอบข้าง และ.... มีเหตุผลครับ

นี่คือหนังที่ถ้าคุณไม่ดูเอง คุณจะไม่เข้าใจถึงความดีงามของชีวิต เราอยู่ทุกๆวันอย่างมีความสุขได้ ถ้าเราเห็นคุณค่าของมัน 

คำเตือน : คนขี้แย emotional มากๆ รักพ่อ แม่ รักพี่น้อง รักเพื่อน รักเด็ก และโลกสวย กรุณาเตรียมถังไปรองน้ำตาด้วย เพราะตลอดเรื่อง คุณจะน้ำตาปริ่มไปกับทุกๆเหตุการณ์ในเรื่อง อย่างมีความสุขครับ !! บอกเลย
#thaimoviereview #thaimoviecritic #moviereview #moviecritic #thaistagram #igthai #igthailand #feelgood #loveisallaround #mustsee #justafrogprince #abouttime #BillNighy #RachelsMcAdams #DomhnallGleeson #RichardCurtis 





Saturday, October 5, 2013

วิจารณ์ภาพยนตร์ - Movie review : GRAVITY มฤตยูแรงโน้มถ่วง







GRAVITY(2013) : Digital 3D 

Kobe's meter : 9/10 

เมื่อนักวิทยาศาสตร์อวกาศ 3 คน กำลังปฏิบัติภารกิจซ่อมแซมกระสวยอวกาศ อย่างฉับพลันทันใดก็มีเหตุอันต้องทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังตีนแตกหยาบ ... ความน่ากลัวและเคว้งคว้างอย่างสุดขั้วเริ่มขึ้นแล้ว


บท : แปลกใหม่ในแง่ของการจับประเด็นทางด้าน "เหตุผลของการมีอยู่ของชีวิต" มาใส่ในพลอตที่เป็นไซไฟ ซึ่งเนื้อในแท้ๆของหนังไม่มีอะไรเกี่ยวโยงกับความเป็นไซไฟมากนัก แต่ใช้ความเคว้งคว้าง เงียบงันของห้วงอวกาศเป็นจุดที่ทำให้คนดูสร้างอารมณ์ร่วม และเข้าถึงปรัชญา (ที่ไม่ได้ลึกซึ้งมากอะไร) หลายๆข้อที่หนังพยายามนำเสนอได้ง่ายขึ้น ต้องยอมรับว่า ห้วงอวกาศอันเคว้งคว้าง สร้างอารมณ์ให้คนดูได้ดี การใช้จักรวาลอันหาที่สุดไม่ได้มาเป็นฉากของเรื่องราวต่างๆ ทำให้ผู้ชม (หรือผู้อ่านนิยาย) มีจินตนาการและ "อิน" กับมโนภาพในใจได้เอง แล้วนำไปสู่ความเชื่อในที่สุด ประกอบกับการถ่ายทำที่ดีพอ แถมบทดัดแปลงออกมาได้เข้าใจง่าย ตามง่าย ไม่งง ไม่มีความรู้สึกประเภท เอ๊ะ! เมื่อกี้มันอะไรวะ แบบนั้น แปลว่าหนังเรื่องนี้ "ดูง่าย" ครับ


การถ่ายทำ : ยอดเยี่ยมมาก ต้องยอมรับว่า ผกก. Alfonso Cuarón เป็นพวกชอบเล่นมุมแปลกๆ เพราะหนังสร้างชื่อของฮีอย่าง Y tu mamá también(2001) และ Children of Men (2006) หรือแม้แต่การกำกับผลงานฮอลลีวูดเรื่องแรกๆของเขาอย่าง Great Expectations (1998) ก็มีมุมกล้อง การแพนภาพ และการนำเสนอรายละเอียดขององค์ประกอบในฉากที่ค่อนข้างแปลกตา มีจุดเล็กจุดน้อยให้ตาเราจับจ้องเสมอ ในกราวิตี้ก็เช่นกัน เล่นมุมมองหลากหลาย จนคนดูมีอารมณ์ร่วมไปกับฉากอย่างเนียนๆ ที่เด่นมากคือในช่วงต้นเรื่องที่เกิดเหตุ และช่วงท้ายเรื่องตอนสรุปจนจบ เป็น2ช่วงของหนังที่ดึงเราเอาไปเป็นตัวละครเลยจริงๆ มันหวือหวาแต่น่าเชื่อถือมาก "อิน" แท้ๆครับ


วิชวลเอฟเฟกต์ :  ยิ่งใหญ่ สวยงาม สมจริง ผมหมายถึงภาพทั้งหมดทั้งมวลในหนัง ดูสมจริงกำลังดี ไม่หวือหวาเกินจริงจนขาดความน่าเชื่อถือเหมือนอย่างที่หนังประเภทนี้โดยมากชอบทำกัน ทั้งอวกาศ โลก ดวงดาว ยาน ดาวเทียม ทุกอย่างดูใช่ ดูจริงเหมือนภาพในสารคดี ไม่มีการดึงสี เพิ่มแสงให้ดูเยอะจนจับต้องไม่ได้ ระบบ 3มิติช่วยให้ภาพดูสมจริงขึ้นมากๆ แต่ไม่หลอกจนปวดหัว ลงตัวดี 


บันทึกเสียง :  รายละเอียดยิบย่อยเก็บมาดีมากทั้งเรื่อง แต่เด่นมากยกถ้วยให้ ต้องในฉากที่ตัวเอกกำลังหมุนเคว้งหลุนๆกระแทกยานอวกาศ สมจริงเหมือนแสดงเองจนหายใจไม่ทั่วท้องเลย 


ดนตรีประกอบ : ดีอีกแล้ว คือจังหวะเร่งเร้าก็ดังปรี๊ดขึ้นมาถูกจังหวะหนังมาก แต่ที่ประทับใจมากคือมันเป็นดนตรีที่แปลก! คือไม่เหมือนหนังอวกาศเรื่องอื่นๆ อธิบายยากแต่ลองนึกถึงหนังอย่าง STAR WAR หรือ STAR TREK มันจะมีธีมเสียงดนตรีคล้ายๆกัน อย่างเสียงกดคีย์บอร์ดลากยาว เสียงออแกนแหลมๆ เป็นต้น แบบรู้เลยว่าเสียงนี้ ยานแม่กำลังมา อะไรแบบนี้ ... แต่ใน Gravity ไม่เลย มันไม่มีเสียงแบบนั้นเลย ต้องไปดูเองแล้วลองสังเกต จะเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร


นักแสดง : กราวิตี้ เป็นหนังประเภท one-leading actor คือมีตัวเอกแค่คนเดียวเป็นตัวดำเนินเรื่องทั้งหมด ซึ่งก็คือ Sandra Bullock (Dr. Ryan Stone) บทของเธอคือวิศวกรการแพทย์ผู้ถูกฝึกมาเพื่อปฏิบัติหน้าที่บนอวกาศ เนื่องจากอุปกรณ์ที่ใช้ในกระสวยอวกาศหลายชิ้น พัฒนามาจากอุปกรณ์ทางการแพทย์ แปลว่าเธอไม่ใช่นักบินอวกาศนะ ส่วนป๋า George Clooney ขอบอกว่าเป็นแค่ตัวประกอบ มาแบบหล่อๆ เล่นเป็นตัวเอง ไม่โดดเด่นอะไร แต่ไม่มีไม่ได้ 

Sandra Bullock เอาคนดูอยู่จริงๆกับการแสดงที่ทรงพลังแต่ไม่เว่อร์ ดูจริงมากจนลืมคำว่า Sandra Bullock ไปเลย ตลอด 90 นาทีที่ดูหนัง เราเชื่อเลยว่านี่ไม่ใช่ Sandra Bullock เพราะนางทิ้งคาแรคเตอร์ของตัวเองไปจนแทบไม่เหลือ การพูด สีหน้า ท่าทาง ไม่ติดความเป็นตัวเองมาใช้ในหนังมากเกิน ( เกตใช่มั้ยคำว่าการเอาตัวเองมาใช้ในหนัง ... นึกถึง Gwyneth Paltrow / Meg Ryan / Jim Carry ) แต่การแสดงอันโดดเด่นนี้ รับรองว่าไม่ถูกจริตออสการ์ เพราะไม่ล้น แต่ใน BAFTA อาจเห็นชื่อ Sandra Bullock เข้าชิงดารานำยอดเยี่ยมก็เป็นได้ 

ในวัย 49 ปี Sandra ดูมาถูกทางกับการเลือกบท (ที่ผสมโชค) การรับบท Dr.Ryan ถือเป็นการพิสูจน์ว่า Oscar ปี 2009 ที่ได้มา ไม่ใช่เพราะนางเป็น American Sweetheart แบบยัย Julia Roberts แต่ชีเป็นนักแสดงที่มีความสามารถจริงๆ ในกราวิตี้ เธอดูหวาดกลัว สิ้นหวัง อ่อนแอ และกลับมาฮึดสู้ ทั้งๆที่มีความกลัวอยู่ล้นจริต ... มันดูเป็นมนุษย์มาก มันดูเป็นคนข้างๆเราคนนึง ดูเป็นใครก็ได้ ใครๆก็คงเป็นอย่างเธอถ้าต้องตกอยู่ในสถานะการณ์นี้ Sandra Bullock มอบความสมจริงให้กับคนดูแบบไม่กระโชกโฮกฮาก ไม่กระชาก ไม่พีค แต่จบแล้วสวยงาม ... นานนาน จะเจอคนเล่นได้แบบนี้ คงต้องชม ผกก.ด้วย ที่ควบคุมเธอให้อยู่ในความ"พอดี" 


ผกก. : ต้องชม ผกก. ที่กล้าหยิบจับนิยายแบบนี้มาทำหนัง เพราะมันคุมยาก บทมันกว้างมากถ้าเป็นตัวหนังสือ แต่มันแคบมากทางเชิงภาพยนตร์ ก็ตัองปรบมือที่สามารถสื่อบทออกมาเป็นภาพได้อย่างกลมกลืน ครบถ้วน สวยงาม และได้อรรถรส .. ไม่รู้จะชมอะไร แต่เอาเป็นว่า เด่นทุกกระบวนท่า !!! น่าจะได้รางวัลจากสถาบันเล็กๆเยอะอยู่
สรุป : Gravity เป็นหนังที่ดีที่สุดของปีนี้ (เท่าที่ดูมาจนวันนี้นะ) ในแง่ของการเป็นภาพยนตร์ Box Office หนังสนุก ดาราแสดงดี ภาพ เสียง ดี และให้ข้อคิดดีๆ จบแล้วมีความรู้สึกดีๆเกิดขึ้นในใจ เท่ากับครบทุกองค์ประกอบของความเป็นหนังดีเรื่องนึงครับ 



**เราเป็นคน เกิดมามีคุณค่าต่ออะไรสักอย่าง หรือต่อใครสักคนแน่ๆ ถึงเราจะไม่มีใครให้เราใช้ชีวิตอยู่เพื่อเขาในตอนนี้ แต่อย่าดูถูกอนาคตของเรา เราไม่ได้มีแค่คนในอดีตและคนในปัจจุบัน พรุ่งนี้ .. สิ่งที่มีค่าพอที่จะทำให้เราอยากมีลมหายใจไปอีกนานๆ อาจจะมายืนอยู่ตรงหน้าเราก็ได้ อย่าดูถูกการมีชีวิตอยู่ในวันต่อๆไป .. นะครับ ^_^ **

Wednesday, June 26, 2013

Café Amazon : "Drive Awake" application ดีๆ ฝีมือคนไทยที่ควรมีติดรถไว้






สุดยอดเลยครับ  Drive Awake  แอพพลิเคชั่นฝีมือคนไทย ที่ได้รับรางวัล Silver medal  จากเทศกาล Cannes Lions International Festival of Creativity ประจำปี 2013
แอพพลิเคชั่น Drive Awake เป็นแอพฯที่ช่วยไม่ให้เราหลับในขณะขับรถ คือเมื่อเราง่วง ๆ ทำท่าจะหลับ ๆ ตาเริ่มปรือๆนิ่งๆ กล้องหน้าของ iPhone ที่ทำงานร่วมกันกับแอพฯ จะส่งเสียงเตือนแบบสุดเสียงสังข์เพื่อให้เราตื่น ตัวแอพฯใช้หลักการจับดูการเคลื่อนไหวของดวงตาเรา ถ้าแอพฯจับภาพดวงตาของเราไม่ได้ก็จะมีการส่งเสียงเตือนขึ้นมา โดยแอพฯ Drive Awake เป็นผลผลิตจากร้ากาแฟสัญชาติไทย ณ ปตท. Cafe Amazon ออกมาให้โหลดกันแล้วครับ นักพัฒนาคือบริษัท 1Moby  โหลดกันเลยที่ App Store


Monday, March 18, 2013

เด็กหญิงตัวเท่าหมา เต้นบีเกิร์ลอย่างกะผู้ใหญ่ : BGIRL TERRA 2013 ( the best BGirl of the world )



ณ งานประกวดแข่งขัน BREAK DANCE ณ เมืองแซมบ้า จู่ๆก็มียัยเด็กตัวกระเปี๊ยก กระโดขึ้นเวทีมาทำให้ ....... เออออ เอาเป็นว่า เกินอึ้งนะ จุดนี้

Friday, March 8, 2013

Google Glass แว่นตาเปลี่ยนโลก - เราจะเห็นโลกเปลี่ยนไป กับกูเกิ้ล กลาส



เมื่อเจ้าพ่อกูเกิ้ล เริ่มประดิษฐ์แกดเจดจริงจังขึ้นมา ก็ทำเอาฟอร์มเมอร์ทางนี้อย่างแอปเปิ้ลหนาวไปเลย กับตัวต้นแบบของกูเกิ้ล กลาส (Google Glass) ที่จะเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตประจำวันของคนยุคใหม่ โดยเฉพาะกับฟีเจอร์การบันทึกภาพเคลื่อนไหวความละเอียดสูงแบบ Realtime แถมเชื่อมต่อกับ Google ได้แบบเนียนๆ คุยกันรู้เรื่องกว่า Siriพร ของแอปเปิ้ล (ใครใช้แอนดรอยด์แล้วคุยกับ Google ดูสิ มันพูดรู้เรื่องกว่าจริงๆนะ)  คราวนี้ก็เลยไม่ต้องยกกล้องขึ้นมาแล้วเล็ง ถ่าย เพราะ Google Glass สามารถบันทึกทุกอย่างที่คุณเห็นแบบจริงจัง เพราะมาเป็นแว่นตาเลย คราวนี้ไม่ว่าคุณมองอะไรอยู่ แอบดูใครอยู่ แค่พูดว่า "Ok Glass" เจ้านี่ก็จะบันทึกทุกสิ่งที่คุณเห็นทันที  ง่ายเว่อร์

คาดว่าต้นแบบที่พัฒนาอยู่นี้ น่าจะใกล้เคียงกับของจริงที่จะนำออกมาจำหน่ายอยู่มากโข รออีกนิดนะพี่น้อง เพราะตอนนี้ ผู้ที่สนใจจะทดลองเจ้า glass นี้ได้ลงทะเบียนกันจนเต็มโควต้าแล้ว เราๆท่านๆ ณ ไทยแลนด์ก็รอซื้อของจริงเลยละกัน รวยๆ สวยๆ


Thursday, February 7, 2013

เมื่อเดวิด เบคแฮม กลับมาใส่ กกน.วิ่งให้เราดูอีกครั้ง : starring DEVID BECKHAM for H&M underpants



ถ้าบอกว่า ผู้ชายวัยเกือบ 40 จะมาใส่ กกน.ตัวบางจิ๋วมาวิ่ง มากระโดด มายกแข้งยกขาให้ดู ต่อให้เป็นเก้งกวางก็คงแหวะกันเป็นแถว แต่ถ้าผู้ชายคนนั้นเป็น เดวิด แบคแฮม นั่นก็เป็นหนังคนละม้วนเลยล่ะ


ถึงแม้สังขารคนเราจะไม่เที่ยง แต่ถ้ารู้จักดูแลสักหน่อย คุณก็อาจจะดูดีได้ เหมือนที่ตาเบคทำให้เราเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หนำซ้ำเมื่อดูโฆษณานี้จบแล้ว อาจต้องคิดใหม่ด้วยซ้ำ ว่า Devid Beckham ในวัย 38 นี้ ดูดีขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้านี้เป็นไหนๆ เพราะนอกจากรูปร่างที่ดูดี  FIT เปรี๊ยะแบบ Bodymass index ไม่ขาดไม่เกินแล้ว ลุคส์โดยรวมก็ดูสดใส ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น สงสัยเพราะได้กลับมาอยู่กับลูกกับเมียที่บ้านเกิดละมั้ง (แต่ในหนังโฆษณานี้ ถ่ายทำที่ Beverly Hill LA)เลยเอาหน้าแก่ๆ ตาตกๆเมื่อตอนอยู่ LA Galaxy ทิ้งไปหมด (แว่วว่าตาเบคจะย้ายมาอยู่ Arsenal) แถมโฆษณานี้ ได้ ผกก.หัวขบถอย่าง Guy Ritchie มาดูแล เลยทำให้ดูสนุก กวนตีน และมีสเน่ห์มาก ทั้งๆที่ plot นั้นต้องบอกว่า โคตรซ้ำ!! 

เอาละ ดูแล้วก็ก้มมองพุงกะทิตัวเอง แล้วก็อย่ามัวแต่อิจฉาว่าหุ่นเราช่างแผละพลุ้ยอะไรเยี่ยงนี้  คนเราต้องดูแลตัวเอง ท่องเอาไว้ .. ใครๆก็ FIT  แบบป๋า Beckham ได้... .... /me ว่าแล้วก็หยิบเลย์เข้าปากต่อ

SOS CONDOM:ถุงยางด่วนได้ ดูเรกซ์จัดให้!!!!



เคยมั้ย เวลากำลังเข้าได้เข้าเข็มแล้วแต่ปรากฎว่า..... ไม่มีถุงยางติดตัวมาซะงั้น  ครั้นจะถอนมือ ถอนปาก ถอนอะไรต่อมิอะไรออกมาจากการคลุกวงในแล้วบอกคู่ขาว่า "ผมขอหาเซเว่นก่อนนะ จะซื้อถุงยางอนามัยเพื่อความสุขแบบปลอดภัยของเรา" คู่ขาคงด่าในใจว่า แหม....ไอ้นี่นี่ ไม่รู้จักเตรียมตัว  ไม่ก็คงจะแบบ ....นี่มึงกลัวกูขนาดนี้เลยเหรอ  อะไรเทือกนี้ พาลไฟรักดับกันพอดี



DUREX บริษัทถุงยางอนามัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก (แต่คุณภาพสู้ถุงยางญี่ปุ่นไม่ได้ซักรุ่น...จริงมะ) เลยผลิต application เจ็บจิ๊ดออกมาใส่ iOS เรียกง่ายๆ เข้าใจทันทีว่า "SOS CONDOM" เจ้า app นี้ จะเป็นเหมือนตัวช่วยยามคับขันของคุณยามที่คุณต้องกสรความปกป้อง แต่ดันไม่มีติดตัวมา แค่กดระบุ location ใน app รอสักครู่ แล้วเลือกว่าต้องการผู้ช่วยลักษณะไหน ไม่ว่าจะเป็นเด็กส่งพิซซ่าร้อนๆมาเคาะประตูบ้าน หรือจะเป็นตำรวจจราจร หรือคนเดินถนนได้หมด ขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังอยู่ในสถานะการณ์แบบไหน




ตอนนี้กำลังทดสอบระบบกันอยู่ โดยเปิดให้หนุ่มๆมากดโหวตกันว่าเมืองไหนไนยุโรปจะมีบริการนี้บ้าง โดยผู้ใช้บริการครั้งแรก จะยังเลือกระบบการส่งแบบเด็กส่งพิซซ่าได้ก่อน หลังจากนั้น บริการแบบอื่นๆจะทะยอยตามกันออกมา ส่วนบ้านเราไทยแลนด์แดนผลิตและส่งออก DUREX อันดับต้นๆของโลก คงไม่ต้องเล่นมุขนี้กันหรอก เพราะมี 7-11 และร้านสะดวกซื้ออยู่แทบทุกหัวถนนให้แวบเข้าไปง่ายๆอยู่แล้ว หรือถึงแม้อาจจะดูเสียฟอร์มอยู่บ้างถ้าต้องแวะซื้อถุงยางให้พาลอารมณ์เสีย แต่หนุ่มไทยคงไม่ม้วนต้วนหน้าบางกันเท่าพวกหัวทองกระมัง

แน่ล่ะ ของฟรีจะมีเหรอในโลกนี้ .. DUREX คิดค่าบริการตามชนิดของถุงยางอนามัยที่คุณเลือก และระยะทางที่จะต้องนำส่ง + ค่าเล่นละครอีกเบาๆ คิดว่าคงแพงโขอยู่ แต่แหม มันคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้มนะ จริงมะ  สนุกแบบปลอดภัย... ห้ามลืมสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์นะครับ