Tuesday, October 8, 2013

วิจารณ์ภาพยนตร์ - Movie review : About Time ย้อนเวลาให้เธอ (ปิ๊ง) รัก





About Time (2013)

Kobe's Meter : 10/10

About time เป็นหนังโรแมตติก คอมมาดี้ ผสมดราม่า ที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตแต่ละช่วงวัยของผู้ชายคนนึงที่สามารถเดินทางข้ามเวลาไปยังอดีตของตัวเองได้ มันสนุก ตลก มีชีวิตชีวา และยังมีความลุ่มลึกในทุกฉากทุกตอน อย่างไม่น่าเชื่อ

บท : เป็นหนังที่เอาความเหนือธรรมชาติมาเล่นกับการใช้ชีวิตตามรูปแบบมนุษย์ในสังคมปกติ ชายคนนึงที่ต้องก้าวผ่านวัยรุ่น ตกหลุมรัก สูญเสีย และถูกคาดหวัง ... ต้องสร้างครอบครัว และทำมันให้ดีที่สุด นี่มันคนจริงๆ 

บทเขียนได้ลุ่มลึกทุกจังหวะของชีวิตของตัวเอก โดยเฉพาะในมุมของครอบครัว คนดูไม่ต้องพยายามคิดตามมาก เพราะเหตุการณ์ต่างๆในหนัง ล้วนเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดกับเราๆท่านๆทุกคน (อย่างน้อยคุณก็เคยตกหลุมรักใครสักคนแหละน่า) คำพูดต่างๆในหนัง มีความเรียบง่าย แต่มันช่าง.... มีพลัง เพราะมันไม่ได้สวยงามเกินจริง แต่ทุกคำพูด ทุกบท ทุกตอน ล้วนเกิดขึ้นจริงกับเราๆท่านๆในทุกๆวัน จนพาให้เราคิดไปเองว่า "นี่มันชีวิตกูนี่หว่า" โดยเฉพาะผู้ชายที่ตอนเด็กๆเป็นไอ้ขี้ป๊อดนี่จะโดนมาก

ผกก. ผู้เขียนบท : 1st class นี่ไม่ได้เกินจริงเลย สำหรับ Richard Curtis  ผมเคยคิดว่า ผกก.ท่านนี้ได้ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของการทำงานมานานแล้ว ตั้งแต่หนังสารพัดดีเลิศอย่าง Four Weddings and a Funeral (1994) / Nothing Hill (1999) / Love Actually (2003) และอีกสารพัดหนังดี บทเด่น แม้แต่หนังโคตรดีที่เงียบมากในบ้านเราอย่าง War Horse (2011) ก็ฝีมือท่าน Richard Curtis ทั้งนั้น ... แต่บอกเลย ว่าการกำกับและเขียนบทในเรื่อง About Time นั้น เป็นคนละเรื่องกับงานที่ผ่านมาทั้งหมด เพราะมันเรียบง่ายมาก แต่มันเต็มไปด้วยเหตุผลและข้อคิดดีๆ นี่คือมาตรฐานใหม่ของวงการหนังรัก คือไม่หวือหวา ไม่ต้องเว่อร์ ไม่ต้องเพ้อฝัน แต่ออกมาน่าจดจำและไม่มีวันลืม!!! โคตรเก่ง!!! อธิบายไม่ได้เลย ต้องไปดูเองเท่านั้น .. ขอร้อง


ดนตรี เพลงประกอบ : เนื่องจากเป็นหนังอังกฤษจ๋ามาก เพลงก็โคตรอังกฤษเลย เพลงประกอบเพราะมากจนอยากซื้อซีดีมาเก็บ ลงตัว เข้ากับจังหวะและสถานการณ์มากๆ  ใครเคยชอบหนังเพลงเพราะอย่าง Love Actually / Bridget Jones Diary ก็นึกภาพตามได้เลย 



นักแสดง : อยากให้ดูพระเอก Dohmnall Gleeson ให้ดีๆ (Anna Karenina 2012 / Harry Potter and the Deathly Hallows 1-2 2010-2011) ไอ้เด็กหน้าจืด ผมจินเจอร์แฮร์ ไร้เสน่ห์ ผอมแห้ง หน้าแก่เกินวัย แถมเดินเอียงๆด้วย ... คุณพระ !! มันไม่ใช่คนที่น่าเดินเข้าไปจีบเลยแม้แต่น้อย 

แต่พอหนังจบปุ๊ป ใครไม่หลงรักผู้ชายคนนี้ให้ถีบยอดหน้าเลย.. สาบาน!! บทส่งให้คนไม่เข้าตา กลายเป็นคนที่น่ากอดที่สุดในโลกได้อย่างไร ต้องไปดู .. 

ประเด็นคือ เราอย่าด่วนสรุปคนคนนึงเพียงเพราะเปลือกของเขา คนคนนึงจะเป็นที่รักได้มากแค่ไหน ก็อยู่ที่ความดีของเขามันมีพอให้น่ารักรึเปล่า ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เราเห็นด้วยตาและเปลือกที่ฉาบเอาไว้ 

มันทำให้เรามองคนรอบข้างดีขึ้น ใจกว้างมากขึ้น และมีความสุขมากขึ้นนะ ... ที่ได้มองคนให้ลึกขึ้นบ้าง ใช้เวลาให้นานขึ้นบ้าง .. จริงๆ


สรุปง่ายๆ : นี่คือหนังฟีลกู๊ดสำหรับคนจิตใจดี มีความศรัทธาในความรัก ให้ความสำคัญกับคนรอบข้าง และ.... มีเหตุผลครับ

นี่คือหนังที่ถ้าคุณไม่ดูเอง คุณจะไม่เข้าใจถึงความดีงามของชีวิต เราอยู่ทุกๆวันอย่างมีความสุขได้ ถ้าเราเห็นคุณค่าของมัน 

คำเตือน : คนขี้แย emotional มากๆ รักพ่อ แม่ รักพี่น้อง รักเพื่อน รักเด็ก และโลกสวย กรุณาเตรียมถังไปรองน้ำตาด้วย เพราะตลอดเรื่อง คุณจะน้ำตาปริ่มไปกับทุกๆเหตุการณ์ในเรื่อง อย่างมีความสุขครับ !! บอกเลย
#thaimoviereview #thaimoviecritic #moviereview #moviecritic #thaistagram #igthai #igthailand #feelgood #loveisallaround #mustsee #justafrogprince #abouttime #BillNighy #RachelsMcAdams #DomhnallGleeson #RichardCurtis 





Saturday, October 5, 2013

วิจารณ์ภาพยนตร์ - Movie review : GRAVITY มฤตยูแรงโน้มถ่วง







GRAVITY(2013) : Digital 3D 

Kobe's meter : 9/10 

เมื่อนักวิทยาศาสตร์อวกาศ 3 คน กำลังปฏิบัติภารกิจซ่อมแซมกระสวยอวกาศ อย่างฉับพลันทันใดก็มีเหตุอันต้องทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังตีนแตกหยาบ ... ความน่ากลัวและเคว้งคว้างอย่างสุดขั้วเริ่มขึ้นแล้ว


บท : แปลกใหม่ในแง่ของการจับประเด็นทางด้าน "เหตุผลของการมีอยู่ของชีวิต" มาใส่ในพลอตที่เป็นไซไฟ ซึ่งเนื้อในแท้ๆของหนังไม่มีอะไรเกี่ยวโยงกับความเป็นไซไฟมากนัก แต่ใช้ความเคว้งคว้าง เงียบงันของห้วงอวกาศเป็นจุดที่ทำให้คนดูสร้างอารมณ์ร่วม และเข้าถึงปรัชญา (ที่ไม่ได้ลึกซึ้งมากอะไร) หลายๆข้อที่หนังพยายามนำเสนอได้ง่ายขึ้น ต้องยอมรับว่า ห้วงอวกาศอันเคว้งคว้าง สร้างอารมณ์ให้คนดูได้ดี การใช้จักรวาลอันหาที่สุดไม่ได้มาเป็นฉากของเรื่องราวต่างๆ ทำให้ผู้ชม (หรือผู้อ่านนิยาย) มีจินตนาการและ "อิน" กับมโนภาพในใจได้เอง แล้วนำไปสู่ความเชื่อในที่สุด ประกอบกับการถ่ายทำที่ดีพอ แถมบทดัดแปลงออกมาได้เข้าใจง่าย ตามง่าย ไม่งง ไม่มีความรู้สึกประเภท เอ๊ะ! เมื่อกี้มันอะไรวะ แบบนั้น แปลว่าหนังเรื่องนี้ "ดูง่าย" ครับ


การถ่ายทำ : ยอดเยี่ยมมาก ต้องยอมรับว่า ผกก. Alfonso Cuarón เป็นพวกชอบเล่นมุมแปลกๆ เพราะหนังสร้างชื่อของฮีอย่าง Y tu mamá también(2001) และ Children of Men (2006) หรือแม้แต่การกำกับผลงานฮอลลีวูดเรื่องแรกๆของเขาอย่าง Great Expectations (1998) ก็มีมุมกล้อง การแพนภาพ และการนำเสนอรายละเอียดขององค์ประกอบในฉากที่ค่อนข้างแปลกตา มีจุดเล็กจุดน้อยให้ตาเราจับจ้องเสมอ ในกราวิตี้ก็เช่นกัน เล่นมุมมองหลากหลาย จนคนดูมีอารมณ์ร่วมไปกับฉากอย่างเนียนๆ ที่เด่นมากคือในช่วงต้นเรื่องที่เกิดเหตุ และช่วงท้ายเรื่องตอนสรุปจนจบ เป็น2ช่วงของหนังที่ดึงเราเอาไปเป็นตัวละครเลยจริงๆ มันหวือหวาแต่น่าเชื่อถือมาก "อิน" แท้ๆครับ


วิชวลเอฟเฟกต์ :  ยิ่งใหญ่ สวยงาม สมจริง ผมหมายถึงภาพทั้งหมดทั้งมวลในหนัง ดูสมจริงกำลังดี ไม่หวือหวาเกินจริงจนขาดความน่าเชื่อถือเหมือนอย่างที่หนังประเภทนี้โดยมากชอบทำกัน ทั้งอวกาศ โลก ดวงดาว ยาน ดาวเทียม ทุกอย่างดูใช่ ดูจริงเหมือนภาพในสารคดี ไม่มีการดึงสี เพิ่มแสงให้ดูเยอะจนจับต้องไม่ได้ ระบบ 3มิติช่วยให้ภาพดูสมจริงขึ้นมากๆ แต่ไม่หลอกจนปวดหัว ลงตัวดี 


บันทึกเสียง :  รายละเอียดยิบย่อยเก็บมาดีมากทั้งเรื่อง แต่เด่นมากยกถ้วยให้ ต้องในฉากที่ตัวเอกกำลังหมุนเคว้งหลุนๆกระแทกยานอวกาศ สมจริงเหมือนแสดงเองจนหายใจไม่ทั่วท้องเลย 


ดนตรีประกอบ : ดีอีกแล้ว คือจังหวะเร่งเร้าก็ดังปรี๊ดขึ้นมาถูกจังหวะหนังมาก แต่ที่ประทับใจมากคือมันเป็นดนตรีที่แปลก! คือไม่เหมือนหนังอวกาศเรื่องอื่นๆ อธิบายยากแต่ลองนึกถึงหนังอย่าง STAR WAR หรือ STAR TREK มันจะมีธีมเสียงดนตรีคล้ายๆกัน อย่างเสียงกดคีย์บอร์ดลากยาว เสียงออแกนแหลมๆ เป็นต้น แบบรู้เลยว่าเสียงนี้ ยานแม่กำลังมา อะไรแบบนี้ ... แต่ใน Gravity ไม่เลย มันไม่มีเสียงแบบนั้นเลย ต้องไปดูเองแล้วลองสังเกต จะเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร


นักแสดง : กราวิตี้ เป็นหนังประเภท one-leading actor คือมีตัวเอกแค่คนเดียวเป็นตัวดำเนินเรื่องทั้งหมด ซึ่งก็คือ Sandra Bullock (Dr. Ryan Stone) บทของเธอคือวิศวกรการแพทย์ผู้ถูกฝึกมาเพื่อปฏิบัติหน้าที่บนอวกาศ เนื่องจากอุปกรณ์ที่ใช้ในกระสวยอวกาศหลายชิ้น พัฒนามาจากอุปกรณ์ทางการแพทย์ แปลว่าเธอไม่ใช่นักบินอวกาศนะ ส่วนป๋า George Clooney ขอบอกว่าเป็นแค่ตัวประกอบ มาแบบหล่อๆ เล่นเป็นตัวเอง ไม่โดดเด่นอะไร แต่ไม่มีไม่ได้ 

Sandra Bullock เอาคนดูอยู่จริงๆกับการแสดงที่ทรงพลังแต่ไม่เว่อร์ ดูจริงมากจนลืมคำว่า Sandra Bullock ไปเลย ตลอด 90 นาทีที่ดูหนัง เราเชื่อเลยว่านี่ไม่ใช่ Sandra Bullock เพราะนางทิ้งคาแรคเตอร์ของตัวเองไปจนแทบไม่เหลือ การพูด สีหน้า ท่าทาง ไม่ติดความเป็นตัวเองมาใช้ในหนังมากเกิน ( เกตใช่มั้ยคำว่าการเอาตัวเองมาใช้ในหนัง ... นึกถึง Gwyneth Paltrow / Meg Ryan / Jim Carry ) แต่การแสดงอันโดดเด่นนี้ รับรองว่าไม่ถูกจริตออสการ์ เพราะไม่ล้น แต่ใน BAFTA อาจเห็นชื่อ Sandra Bullock เข้าชิงดารานำยอดเยี่ยมก็เป็นได้ 

ในวัย 49 ปี Sandra ดูมาถูกทางกับการเลือกบท (ที่ผสมโชค) การรับบท Dr.Ryan ถือเป็นการพิสูจน์ว่า Oscar ปี 2009 ที่ได้มา ไม่ใช่เพราะนางเป็น American Sweetheart แบบยัย Julia Roberts แต่ชีเป็นนักแสดงที่มีความสามารถจริงๆ ในกราวิตี้ เธอดูหวาดกลัว สิ้นหวัง อ่อนแอ และกลับมาฮึดสู้ ทั้งๆที่มีความกลัวอยู่ล้นจริต ... มันดูเป็นมนุษย์มาก มันดูเป็นคนข้างๆเราคนนึง ดูเป็นใครก็ได้ ใครๆก็คงเป็นอย่างเธอถ้าต้องตกอยู่ในสถานะการณ์นี้ Sandra Bullock มอบความสมจริงให้กับคนดูแบบไม่กระโชกโฮกฮาก ไม่กระชาก ไม่พีค แต่จบแล้วสวยงาม ... นานนาน จะเจอคนเล่นได้แบบนี้ คงต้องชม ผกก.ด้วย ที่ควบคุมเธอให้อยู่ในความ"พอดี" 


ผกก. : ต้องชม ผกก. ที่กล้าหยิบจับนิยายแบบนี้มาทำหนัง เพราะมันคุมยาก บทมันกว้างมากถ้าเป็นตัวหนังสือ แต่มันแคบมากทางเชิงภาพยนตร์ ก็ตัองปรบมือที่สามารถสื่อบทออกมาเป็นภาพได้อย่างกลมกลืน ครบถ้วน สวยงาม และได้อรรถรส .. ไม่รู้จะชมอะไร แต่เอาเป็นว่า เด่นทุกกระบวนท่า !!! น่าจะได้รางวัลจากสถาบันเล็กๆเยอะอยู่
สรุป : Gravity เป็นหนังที่ดีที่สุดของปีนี้ (เท่าที่ดูมาจนวันนี้นะ) ในแง่ของการเป็นภาพยนตร์ Box Office หนังสนุก ดาราแสดงดี ภาพ เสียง ดี และให้ข้อคิดดีๆ จบแล้วมีความรู้สึกดีๆเกิดขึ้นในใจ เท่ากับครบทุกองค์ประกอบของความเป็นหนังดีเรื่องนึงครับ 



**เราเป็นคน เกิดมามีคุณค่าต่ออะไรสักอย่าง หรือต่อใครสักคนแน่ๆ ถึงเราจะไม่มีใครให้เราใช้ชีวิตอยู่เพื่อเขาในตอนนี้ แต่อย่าดูถูกอนาคตของเรา เราไม่ได้มีแค่คนในอดีตและคนในปัจจุบัน พรุ่งนี้ .. สิ่งที่มีค่าพอที่จะทำให้เราอยากมีลมหายใจไปอีกนานๆ อาจจะมายืนอยู่ตรงหน้าเราก็ได้ อย่าดูถูกการมีชีวิตอยู่ในวันต่อๆไป .. นะครับ ^_^ **