Thursday, December 20, 2012

The Chemistry of Snowflakes : ผลึกหิมะอันสวยงาม เกิดขึ้นเพราะปัจจัยทางเคมีและกายภาพอย่างนี้นี่เอง

เกล็ดหิมะแสนสวยที่ใครต่อใครฝันถึง มีที่มาอันน่าสนใจและอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์ เราก็มัวแต่สนใจแต่ว่ามันมีกี่แฉก อันไหนสวยกว่าอันไหน แต่กว่ามันจะเป็นอย่างที่เราเห็นนี่สิ น่าสนใจกว่าเยอะ







Wednesday, December 19, 2012

A child with Down syndrome and his labrador : สุนัขลาบราดอร์กับเด็กน้อยที่มีความพิการทางสมอง

Happiness of the day


โลกใบนี้ถึงจะเลวร้ายลงทุกวัน แต่ความดีงามของส่วนประกอบของมันก็ยังมีอยู่ 
คลิปนี้ บอกเล่าอะไรได้หลายๆอย่าง และยังให้อะไรกับคนอย่างเราๆได้อีกมากมาย

ดูอย่างเจ้าหมาลาบราดอร์ตัวนี้สิ มันไม่สนใจหรอก ว่าเจ้านายมันเป็นใคร หรือเป็นอะไร มันคงจะรู้แต่ว่า มันรักเจ้านายของมัน และมันก็แค่อยากจะเคล้าคลอและล้อเล่นกับเขาเท่านั้น 
แต่มันได้ให้อะไรหลายๆอย่างกับคนอย่างเรา ให้เราได้คิดสักนิด ว่าสำหรับบางคน ชิวิตไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความสุขในพื้นที่ที่หนึ่ง ในช่วงเวลาหนึ่งหนึ่ง กับคนคนหนึ่งก็เท่านั้น 

พ่อ แม่เด็กคนนี้ คงจะยิ้มไปพลางหัวเราะไปพลางกับความทะเล้นของเจ้าหมาตัวนี้ แต่ผม..ห้ามตัวเองให้ไม่ร้องไห้ไม่อยู่เลย .. มีความสุขชะมัดยาด


Fireworks by Katy Perry (Yoko Ono cover)

เมื่อองค์แม่ Yoko Ono ภรรยาขึ้นหิ้งของ John Lennons ผู้ล่วงลับ ได้แสดงการร้องเพลง(??) ณ งาน Arts show งานหนึ่ง ฟังแล้วคลับคล้ายคลับคลากับ Fireworks ของนาง KatyCats  แต่เป็น rendition ในแนวอาร์ต เป็นศิลปะ เป็นความเหนือและแนวอย่างที่สุด!!!! นี่ไม่ได้ประชดนะ ดูคลิปสิ แล้วจะเข้าใจ (กร๊ากกก)


Dumb ways to DIE : วิธีการตายจากโลกใบนี้ไปอย่างงี่เง่าเต่าถุยของมนุษย์


อย่าตายไปแบบโง่ๆนะจ้ะพวกเรา 



นี่เป็นคำเตือนระวัง"ตาย"ที่น่ารักที่สุดในโลก จากระบบขนส่งมวลชนเมืองจิงโจ้ ไอเดียน่ารักและสื่ออย่างเข้าเนื้อ บ้านเรา คงทำแบบเขาไม่ได้ เพราะแค่ความปลอดภัยบนถนนยังไม่มีเลย

Thursday, December 13, 2012

Jimmy Fallon, Mariah Carey & The Roots: "All I Want For Christmas Is You...




เมื่อพิธีกรเน้นฮาอย่าง จิมมี่ ฟอลลอน ( Jimmy Fallon ) แห่งทอร์คโชว์ยามดึก( Late night with Jimmy Fallen) จัดวงเก๋น่ารักอย่าง The Roots มาทำ footage สำหรับคริสมาส
แล้วใครล่ะจะเหมาะกับบทซานตี้ใจดีเท่านางมาลิง เลยได้นางมานั่งร้องเพลงแบบคุณนายไฮโซ
ไว้ลายไม่เลิกแอ๊บแบ๊วเหมือนจินตรา พูนลาภ ราชินีหมอลำบ้านเราไม่ผิด (คาดว่าน่าจะเคยเป็นพี่น้องกับราชินีหมอลิงในชาติภพก่อนหน้า)  ช่างเป็นอะไรที่ สรวญยิ่งนัก ดูแล้วสนุกปนฮาไปกะนางมาลิงจริงๆ

ปล.ตอนใกล้จบ น้องเด็กดำคนหน้า เอานิ้วขยี้ตาอย่างกะนอนอยู่บ้านแนะ

Tuesday, December 11, 2012

สาวๆที่ไปงานปาร์ตี้ ระวังให้ดี /A Harvey Nichols Christmas 2012 - Avoid A Same Dress Disaster



เชื่อว่าเรื่องหนึ่งที่คุณสุภาพสตรีแทบทุกคนที่ต้องไปงานปาร์ตี้ งานแต่งงานหรืองานอะไรก็แล้วแต่
หวาดกังวลที่สุด ก็คือเครื่องทรงซ้ำคนอื่น!!

ดูแล้วก็ฮาดีเนอะ ผู้ชายนี่สบายดี ใส่อะไรก็ดูไม่ซ้ำกับใคร 5555

Sunday, October 21, 2012

วิจารณ์ภาพยนตร์ - Movie review : 4 เรื่อง 4 รส LOOPER / ARGO / LAWLESS / THE PERKS OF BEING A WALLFLOWER

สวัสดีครับ ใครกินเจอยู่บ้างเอ่ย ขอให้ได้บุญที่ทำกันเยอะๆนะครับ

มางวดนี้ กบขอแอบมาวิจารณ์หนังที่ไปดูมาแล้วสักหน่อยเถอะ เนื่องจากเป็นเดือนที่มีหนังน่าสนใจเข้าแบบ มหาศาล เรียกว่าแน่นตารางจนทำตัวไม่ถูก หนังทั้ง 4 เรื่องที่ได้ไปดูมา ได้แก่

1. LOOPER / ทะลุเวลา อึดล่าอึด - ได้รสชาดใหม่ของหนัง sci-fi ที่แสนจะผิดคาด.. หลังออกจากโรง
2. ARGO / อาร์โก้ แผนฉกฟ้าแลบลวงสะท้านโลก - เบน เอฟเฟลก คือคนนึงละที่เราไม่ควรมองข้าม
3. LAWLESS / คนเถื่อน เมืองมหากาฬ - ดาราเด่น ดำเนินเรื่องดี แต่ก็แค่นั้น
4. the perks of being a wallflower - feel good กว่านี้ ไม่มีอีกแล้ว เลิฟมาก



วิจารณ์ภาพยนต์ - Movie review : LOOPER 

Add caption

LOOPER  7/10

"...The only thing to fear is yourself..." — สิ่งเดียวที่คุณต้องกลัว ก็คือ ตัวคุณเอง

Looper จัดเป็นหนังประเภท science fiction action หรือแอคชั่นไซไฟ ตามภาษาบ้านเรา ซึ่งต้องบอกกันก่อนว่า คำว่าแอคชั่นไซไฟ นั้น อย่าตีความไปเอาเองว่าหนังจะต้องเป็นแอคชั่นบู๊สนั่น ยิงกันเละ และต้องมีเรื่องราว ฉากหลังอันล้ำยุคเหมือนหลุดไปในทศวรรษหน้า อย่างที่หนังประเภทนี้โดยมากเป็น (เรามักจะมองเห็น the fifth element / blade runner หรืออะไรประมาณนั้นในหัว) 

จริงๆแล้ว ไซไฟ เนี่ย ง่ายๆเลยคือเรื่องที่เกี่ยวกับความก้าวล้ำทางวิทยาการที่ปัจจุบันเราอาจยังไม่มี หรือเรื่องที่แต่งขึ้นโดยมีพล๊อตเรื่องหลักๆเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ก็แค่นั้นเองครับ ถ้าเข้าใจว่ามันเป็นแบบนี้ คุณจะดู Looper ออกมาแล้วรู้สึกไม่แย่กับมัน แต่ถ้าคุณคาดหวังว่ามันจะต้องเฟี้ยวฟ้าว แปลกใหม่ เหมือนดูหนังสปิลเบิร์ก คุณอาจจะร้องยี้ดังๆกับ Looper แหงๆ

Looper เขียนบทและกำกับโดย ผกก. ที่มีผลงานมาแค่ 3 เรื่อง นาย Rian Johnson ที่ดังมาจากหนังดราม่าคอหักเรื่อง Brick ที่ได้ Jury Prize for originality of vision จาก Sundance เมื่อปี 2005 และพระเอกเรื่องนั้น ก็ตาตี๋ Joseph Gordon-Levitt นั่นแหละ

Looper นั้น มีเนื้อหาหลักๆอยู่ที่การเดินทางข้ามเวลามาจากอนาคต ในโลกที่ทันสมัย ได้มีการสร้างเครื่องย้อนเวลาเพื่อกลับไปอดีตได้ แต่ว่าไอ้เครื่องนี้เนี่ย มันผิดกฎหมายและถูกห้ามใช้ในสังคมปกติ มีแต่พวกใต้ดินเลวๆนั่นแหละที่จะใช้มันเอาไว้ส่งคนที่ต้องการเด็ดหัวทิ้ง โดยการส่งคนเหล่านั้นกลับมายังอดีต อดีตที่จะมีพวกมือปืนรับจ้างที่เรียกว่า "loopers" คอยจัดการให้แบบลับๆ โดยมีกฎว่า loopers ห้ามปล่อยให้เจ้าคนจากอนาคตที่ถูกส่งมาสำเร็จโทษหลุดรอดไปโดยเด็ดขาด แต่วันนึง  Joe ( รับบทโดย Joseph Gordon-Levitt ) หนึ่งใน loopers กลับมาเจอเป้าหมายที่ตนเองต้องเด็ดหัวทิ้ง กลายเป็นตัวเขาเองที่มาจากอนาคตซะนี่ ( รับบทโดย Bruce Willis ) แล้วตาตี๋จะทำไงละเนี่ย




**เนื้อหาต่อจากนี้ จะมีสปอยล์บ้าง ใครยังไม่ดู ข้ามไปเลยครับ**

เนื่องจากคาดหวังมาก ว่ามันน่าจะเป็นหนังแอคชั่นมันส์ๆ ที่มีเนื้อเรื่องสนุกแบบไม่คิดอะไรมาก แต่พอดูจบออกมาจากโรงหนังปุ๊ป ..... เออ ที่กูดูไปเมื่อกี้มันใช่ Looper  เรื่องเดียวกันกะที่กูดูหนังตัวอย่างเหรอวะ ?!? เนื่องจากตัวหนังไม่ได้ให้ความรู้สึกถึงด้าน แอคชั่นไซไฟเลย คือไม่มีอะไรที่เฟี้ยวฟ้าว ล้ำสมัย ปืนเลเซอร์ แทกซี่ลอยได้โผล่มาให้เห็นซักกะแอะเดียว แถมฉากหลังของทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะปี 2074 หรือ 2044 ที่เป็นปีที่กำหนดมาตามเรื่องนั้น ก็ช่างไม่ต่างจากโลกที่เราอยู่ตอนนี้ซักเท่าไหร่ จนเหมือนไม่ได้ดูหนังอนาคตเลยว่างั้นแหละ 

แต่เอาจริงๆอย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้นว่า เนื้อหาหลักใหญ่ใจความของเรื่องนี้ ไม่ได้อยู่ที่ความเป็นแอคชั่นไซไฟเลย แต่มันกลับมาอยู่ที่ความพลิกผลันของชะตามนุษย์ ที่ไม่รู้ว่าใครเนอะ ช่างเล่นตลกกับเราซะเหลือเกิน  looper เป็นหนังหนึ่งในไม่กี่เรื่องในโลกที่เล่าเรื่องได้พลิกไปพลิกมาแบบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว และจบด้วยเหตุผลแบบ... เออ เดาไม่ได้เลยจริงๆ

จุดเด่นมากๆของ looper  คือบทหนังที่ไหลลื่น และการตัดต่อที่ไม่สะดุดอารมณ์คนดูเลย ทั้งๆที่น่าสะดุดอยู่หลายที ต้องบอกตรงๆว่า ถึงเนื้อหนังจะไม่มีอะไรที่น่าจะสร้างความตื่นเต้นนัก แต่การดำเนินเรื่องที่แสนจะหลอกคนดูให้คิดไปไกลมากกกกก แล้วจู่ๆคำตอบกลับอยู่แค่ปลายจมูกเนี่ย ขอปรบมือให้เลย มันเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก เป็นความตื่นเต้นที่ไม่กระโตกกระตาก เนียนๆให้ระทึกตลอดเวลาและเดาไปเองว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปนะ ซึ่งตรงนี้แหละที่ทำให้ looper เป็นหนังที่ดูสนุกมาก ถ้าคุณดูมันอย่างตั้งใจโดยไม่คาดหวังกับความเป็นแอคชั่นไซไฟมากนักเหมือนกับหน้าของมัน และนี่ก็เป็นอะไรที่แปลกใหม่มากต่อ hollywood  ที่มีแต่หนังสนุกๆที่เดาได้ออกมาหลอกเงินเราเยอะแยะ  looper น่าจะเป็นอะไรที่กำหนดแนวทางการเขียนบทหรือการกำหนดพล๊อตเรื่องของหนัง sci-fi เรื่องต่อจากนี้ ว่าหนังสนุก ต้องมีบทที่ลงตัวและมีเหตุผลด้วย เพราะมันเป็นรสชาดใหม่แท้ๆเลยของหนัง sci-fi จนไม่รู้ว่าจะเอาไปเทียบเคียงกับเรื่องไหนดี 

ส่วนข้อด้อยที่น่าผิดหวังมาก คือตาตี๋ Joseph Gordon-Levitt นี่แหละ ที่ไม่รู้ว่าใครคิดให้ตาตี๋ต้องพยายามแอคติ้งให้เหมือนลุงบรูซ ทั้งหน้าตาที่ต้องถึงกับแต่งหน้าเอฟเฟคต์ช่วย และยังท่าทาง การพูดการจา การกดเสียง คือขัดตามาก เข้าใจว่าทั้งสองคนรับบทเป็นคนๆเดียวกันในฐานะวัยหนุ่ม กับวัยแก่ แต่เห้ย... จำเป็นด้วยเหรอที่จะต้องทำแบบนี้ กลายเป็นว่าเราไม่เชื่อในคาแรคเตอร์ของ Joe ที่ตาตี๋แสดงเลย ดันไปคิดว่าตาตี๋กำลังแสดงเป็นบรูซ วิลลิส มากกว่าที่จะแสดงเป็น Joe ที่รับบทโดยบรูซ วิลลิส ภาคแก่  เราคาดหวังกับตาตี๋มาก เพราะหนังทุกเรื่องที่ตาตี๋แสดง เขาทำให้เราเชื่อในทุกบทบาทมาตลอด เด่นมากๆตอน Mysterious Skin ที่เป็นหนึ่งในหนัง coming of age ยอดเยี่ยมตลอดกาล จนมาดังเอาตอน 500 days of summer จนมาเป็นลูกรักเฮีย Christopher Nolan หลังๆก็มือขึ้น แต่มาแป๊กเอาที่ looper เนี่ย คือพอดูแล้วขัดใจมาก ดูเหมือน Joseph Gordon-Levitt พยายามเกินไปที่จะเป็น Bruce Willis แต่ไม่ได้พยายามเป็น Joe จนทำให้การแสดงไม่ไหลลื่น ดูไม่เป็นธรรมชาติเอามากๆ ในขณะที่การแสดงของดาราคนอื่นอย่าง Jeff Daniels ที่รับบทเป็นหัวหน้า loopers กลับทำได้ดีทั้งๆที่มีเวลาออกมาไม่มาก 

แต่ที่ขโมยซีนสุดๆ คือคู่แม่ลูก Sara กับ Cid ที่แสดงโดย Emily Blunt กับเจ้าหนู Pierce Gagnon  เอมิลี่รับบท Sara แม่ที่ดูเรียบเฉยแต่ซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม เราดูปุ๊ปก็รู้สึกได้เลยว่าเธอเป็นแม่ที่ซ่อนเรื่องราวบางอย่างเอาไว้ เธอมีเวลาในหนังไม่มากแต่เธอเล่าทุกอย่างออกมาได้เคลียร์มาก ส่วนน้องเพียซที่เล่นเป็นลูกชายนั้น ก็มีคาแรคเตอร์ที่ตรงเผงกับ Cid แบบอย่าไปหาใครมาเล่นเลย เจ้าหนูนี่มีน้ำเสียงและภาษากายที่หลอกคนดูได้อยู่หมัด เอาเป็นว่าเล่นได้ดีมากจนน่าติดตามอนาคตของเจ้าหนูคนนี้ดีๆละกัน ส่วนลุงบรูซก็มาตรฐาน ไม่ได้โดดเด่น ไม่ได้แย่อะไร

สรุปคือ Looper เป็นหนัง"มีดี" แต่ไม่ใช่หนังดีเลิศอะไร เพราะอาจจะไม่ตรงจริตของใครหลายๆคน แต่ถ้าคุณดูแบบเปิดใจ แล้วตามตัวละครให้ทันซักนิด มันเป็นหนังเรื่องนึงที่ไม่ควรพลาดเลย และไม่ผิดเลยที่จะบอกว่า  LOOPER เป็น SCI-FI ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ 2012
แถมอีกนิดนึงว่า ใครเป็นแฟน Piper Perabo จาก Coyoty Ugly ห้ามพลาดเรื่องนี้ เพราะเธอผ้าหลุดจ้าาาา555+




วิจารณ์ภาพยนต์ - Movie review : ARGO



ARGO  8/10

ARGO เป็นหนัง thriller  ที่อ้างอิงมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศอิหร่าน ในปี 1977-1979 ในตอนนั้น  (รายละเอียดขอไม่กล่าวถึงนะครับ ใครอยากรู้ ถามกู๋เอง ) ประเทศอิหร่านซึ่งถือเป็นประเทศมุสลิมที่กำลังปั่นป่วนจากการประท้วงและการต่อต้านประเทศพี่บี๊กอย่างอเมริกา เนื่องจากเป็นผู้ให้ที่พักพิงแก่ Shāh หรือจักรพรรดิ Mohammad Reza Pahlavi แห่งอิหร่าน ซึ่งลี้ภัย (แต่จริงๆแล้วต้องบอกว่าถูกเนรเทศมากกว่า) ไปอยู่ที่อเมริกาแบบกินดีอยู่ดี ชีวิตหรูหรา ยังความขุ่นเคืองแบบสุดๆให้กับประชาชนชาวอิหร่านที่แสนจะลำบากในยุคนั้น

เหตุการณ์หลักๆ จะเกิดขึ้นที่สถานฑูตอเมริกา ณ เมืองหลวงเตหะราน ของอิหร่าน โดยมีเนื้อเรื่องหลักๆอยู่ที่ จนท.กงศุลถูกจับเป็นตัวประกัน แต่ดันมี จนท. 6 คน แอบย่องเบาหลบหนีออกไปจากสถานฑูตก่อนที่จะโดนพวกกลุ่มปฏิวัติเข้ายึดสถานฑูต แต่ชีวิตของ 6 คนนั้น กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะถึงแม้ว่า การที่จะได้รับความเอื้อเฟื้ออย่างดีเยี่ยมจากท่านเอกอัคราชฑูต ประเทศแคนาดา Ken Taylor และภริยา ให้ได้พักอาศัยอยู่ในบ้าน แต่ก็ต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนและต้องคอยระวังตลอด ว่าจะโดนจับได้เมื่อไหร่

ภาระจึงตกมาอยู่ที่ CIA หัวแหลมอย่าง Tony Mendez ต้องเข้าไปช่วย จนท. 6 คน ที่หลบอยู่ที่บ้านท่านฑูตแคนาดา ให้กลับมายังอเมริกาให้ได้อย่างปลอดภัย ด้วยการตอแหลเนียนว่าจะเข้าอิหร่าน เพื่อไปถ่ายหนัง!! เห้ย.... เรื่องราวหลักๆมีเท่านี้




**เนื้อหาต่อจากนี้ จะมีสปอยล์บ้าง ใครยังไม่ดู ข้ามไปเลยครับ**

หนังมีข้อดีหลายๆอย่างที่น่าจดจำ ประเด็นแรก นี่เป็นหนังที่อ้างอิงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมดแบบมีตัวละครอยู่จริงเป๊ะๆ ซึ่งน่าจะกำหนดทิศทางของหนังให้สนุกได้ยาก แต่มันกลับสนุกมาก เนื้อเรื่องที่คนดูรู้ตอนจบอยู่แล้วอย่างนี้ แต่พอมาเจอการเขียนบท การลำดับภาพ และต้องยกให้การกำกับเลย ไหลลื่นและเนียนมาก ทำให้คนดูอย่างเราเชื่อและ"อิน"จัดไปเลย ลุ้นแบบสุดตัวเหมือนถูกจับขังเอาไว้เองเลยทีเดียว 

เบน เอฟเฟลก ซึ่งทำหน้าที่เขียนบทและผู้กำกับนั้น ทำหน้าที่นี้ได้ดีเยี่ยม ไม่ผิดหวังเลยที่จะฝากความหวังกับหนังทุกเรื่องต่อจากนี้ถ้ามีชื่อ เบน ส่วนเป็นร่วมในการสร้าง (ไม่นับเรื่องแสดงนะ) จริงๆต้องบอกว่า เบน นั้นเป็นบุคลากรที่มีฝีมือมากคนนึงของ hollywood ไม่ต้องย้อนไปไกลขนาด Good will hunting หรอก ถ้าคุณได้ดูหนังอย่าง Gone baby gone (2007) หรือ The Town (2010) ที่เบน เป็น ผกก.และเขียนบท คุณจะเข้าใจถึงความเฉียบคมและมีของ ของนายเบนได้เป็นอย่างดี 

ต่อมาคือการแสดงของนักแสดงทุกคน ควบคุมความเป็นธรรมชาติได้ดีเยี่ยม ต้องยกเครดิตให้ ผกก.อีกแล้ว คือกำกับนักแสดงให้แสดงออกมาได้ไม่มากไม่น้อยเกินไป เป็นเอกภาพมากๆ คือในจุดที่เหตุการณ์ต่างๆกำลังดำเนินไปนั้น เราไม่ได้รู้สึกถึงความโดดเด่นของตัวละครตัวไหนเป็นพิเศษ แต่กลับรู้สึกร่วมไปกับเหตุการณ์ทั้งหมดแบบ"อิน"ไปกับภาพรวมทั้งหมดของทุกๆฝ่าย ทั้งคนที่ติดอยู่ในสถานฑูต คนที่ไปช่วย คนที่เป็นแบคอัพ ทุกตัวละคร ทำหน้าที่"เล่าเรื่อง"ได้อย่างเนียนๆ เหมือนดูภาพเหตุการณ์จริงๆที่อยู่ตรงหน้า แบบไม่ติดภาพนักแสดงตัวเอ้ hollywood เลยซักนิด ทั้งๆที่นักแสดงหลายท่าน เป็นตัวแม่ ตัวพ่อทางด้านการแสดงกันทั้งนั้น จุดนี้นี่แหละ ที่เป็นจุดเด่นมากในหนังเรื่องนี้ เพราะถ้าเกิดมีใครดันเล่น out standing มากไปซักนิด เราในฐานะคนดู จะเรื่มมีความ"ไม่เชื่อ" หรือเทความเชื่อไปในทางใดทางนึงมากเกินไป ในขณะที่เนื้อเรื่องของหนังมีหลายๆเหตุการณ์ หลายๆหน้าที่ของตัวละคร ที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน

อีกเรื่องที่ไม่ชมไม่ได้ คือ production ทุน 50 ล้านเหรียญ แต่ฉากหลังปี '79 นั้น เนียนตาสุดๆ ทั้งอุปกรณ์สำนักงาน สภาพบ้านเมือง สนามบิน เครื่องแต่งกาย โอ๊ย สารพัดเนียน คือเชื่อเลยว่ามันเป็นเรื่องเมื่อ 30 ปีที่แล้วแบบไม่ต้องใช้ CG มาช่วย และที่เด็ดมาก คือโทนสีของหนังนั้น ดูเป็นหนังฟิล์มยุค '80 จริงๆ คือมีเกรนทรายๆทั้งเรื่อง สีออกเหลืองอมซีดๆหน่อยๆ ดูแล้วนึกถึง boogie night (1997) ของ Paul Thomas Anderson  ขึ้นมาเลย คือเป็นหนังย้อนยุคที่ดูแล้วเนียนตามากครับ

สุดท้ายที่จะชมเลยคือ ความลุ้นระทึกตลอดเวลา 120 นาที ของการเล่าเรื่อง ไม่มีจุดไหนเลยที่ไม่ปล่อยของ คือโดนทิ้งให้มีความรู้สึกลุ้นตลอดในทุกๆเหตุการณ์ บทไม่ได้บอกอะไรคนดูแบบโต้งๆเลยซักนิด แต่ปล่อยให้คนดูได้คิดต่อเอาเองว่าการกระทำเหล่านี้ จะนำไปสู่อะไรได้บ้าง เอาเป็นว่ามันทำให้เรา"อิน"จนหลังติดเบาะเลยจริงๆแหละ 

ข้อด้อยของ ARGO นั้น ถ้าบอกกันตามเนื้อหนังเลยคือ "ไม่มี" เพราะถ้าเข้าใจเนื้อหาที่หนังต้องการให้คนดูรับไป ตอบเลยว่าเราได้ครบทุกอย่างที่หนังสื่อออกมาได้แล้ว  แต่ถ้ามองในมุมของคนดูที่อาจจะเข้าใจผิด ว่าหนังน่าจะเป็นแนวแอคชั่น แยบยล ลุ้นๆ ก็คงไม่โดน 100% แต่ใช่ว่าคนที่คาดหวังแบบนั้น เข้าไปดูแล้วจะไม่ได้อะไรออกมา เพียงแต่มันไม่ตรงเป๊ะเท่านั้นเอง เหมือนสั่งเส้นใหญ่ราดหน้า แต่ได้กินหมี่กรอบราดหน้าแทน แต่แม่ง อร่อยกว่าเส้นใหญ่อีกว่ะ อะไรแบบนี้

สรุปคือ คนที่ต้องการหาหนังซักเรื่องเพื่อความสุนทรีกับการเสพย์"ภาพยนต์" ARGO เป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยม ถ้าคุณมีเวลา อย่าพลาดครับ






วิจารณ์ภาพยนต์ - Movie review : LAWLESS




LAWLESS 6.5/10

LAWLESS เป็นหนัง Crime-Drama ที่เล่าเรื่องของ american gangster ที่มีอยู่จริงๆ 

ครอบครัว Bondurant  พ่อค้าเหล้าเถื่อนของเมือง Franklin country รัฐ Virginia ดินแดนคาวบอยและเจ้าพ่ออัลคาโปนคนเถื่อนในยุค '40 กำลังถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองตีกรอบเรื่องการส่งส่วยแบบหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ จนพี่น้องบอนดูเรน เริ่มไม่แฮปปี้ จนเกิดการต่อต้านขึ้นมา

ผกก. John Hillcoat ได้รับคำชมอย่างมากจากคอหนังแนวนี้ จนสามารถได้รับเกียรติให้เป็นหนังเปิดในเทศกาล Cannes Film Festival 2012 ที่ผ่านมา จากทุนสร้างอันน้อยนิดแค่ 30 กว่าล้านเหรียญ แต่อัดแน่นด้วยดาราคุณภาพจัด ทั้ง Tom Hardy , Guy Pearce , Shia LaBeouf , Jessica Chastain และตัวพ่ออย่าง Gary Oldman  แค่นี้หนังก็น่าดูสุดๆแล้ว แถมยังมาในช่วงที่ตลาดหนังไม่มีเรื่องราวพลอตนี้มานาน เลยทำให้คนสนใจอยากดูกันมาก





**เนื้อหาต่อจากนี้ จะมีสปอยล์บ้าง ใครยังไม่ดู ข้ามไปเลยครับ**

อย่างที่รู้ๆกันว่าหนังแนวนี้ มักมีเนื้อเรื่องไม่ซับซ้อน มักเล่าเรื่องห่ามๆ ดิบๆ ตามประสาคนในยุคนั้น ซึ่งยิงกันตายเป็นว่าเล่น ผกก. สามารถควมคุมจุดนี้ของหนังได้ดี ไม่มีจุดติอะไร คือได้อารมณ์คนเถื่อนยุค '40 แท้ๆจริงๆ แบบชนิดที่เรียกว่า เออ... มึงเกิดทันด้วยเหรอวะ อะไรแบบนั้น 

จุดที่ต้องชม คือความเถื่อนที่ดูไม่มากเกินไปเหมือนหนังบางเรื่อง ที่พยายามยัดเยียดความโหดร้ายของพวก gangster อเมริกัน ให้คนดูจนรู้สึกสะอิดสะเอียน Lawless มีความพอดี มีเหตุมีผลมากกว่าหนังทำนองนี้หลายๆเรื่อง คือจะยิง จะปาดคอ จะชกกันก็ทำแบบมีปี่มีขลุ่ย สร้างเหตุผลให้คนดูรับรู้ได้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น อันนี้แหละ ดีมาก 

แต่ก็มีที่ต้องว่ากันบ้าง ไม่พ้นเรื่อง production ที่ไม่ยิ่งใหญ่เอาเลย คืออาจจะเป็นเพราะทุนสร้างที่น้อยมากๆ เมื่อเทียบกับสเกลหนังและดารา คือบีบฉากหลังให้อยู่ในโลเคชั่นแคบๆที่ดู..... ไม่ลงทุนเท่าไหร่ แต่ถามว่ามันก็ไม่ได้เลวร้ายหรอกนะ เพราะเรื่องราวที่หนังเล่าให้คนดู ก็จำกัดอยู่ในเมืองๆนึง แต่ถ้ามันใหญ่กว่านี้ได้ซักนิดจะดีมาก เพราะอย่างน้อย ความเป็นหนังที่มีกลิ่นคาวบอย ก็ควรมีฉากหลังเป็นทุ่งกว้างใหญ่ เห็นเส้นขอบฟ้ากันบ้าง เอาให้เห็นถึงความใหญ่โตของประเทศอเมริกาที่ใหญ่จริงๆ ใหญ่จนการปกครองจากส่วนกลางทำไม่ได้ เอาให้รู้สึกว่า เออว่ะ มันต้องมีก๊ก มีเหล่านะ แกงส์เตอร์แม่งมีอยู่จริงๆในยุคนั้น แต่หนังกลับไม่มอบจุดนี้ให้คนดูเลย นั่นเลยทำให้คนดูขาดความเชื่อบางอย่างไปแบบ...เล็กๆ


อีกเรื่องนึงคือการแสดงที่มีอินเนอร์เยอะๆของทุกคนนั้น เยี่ยมยอดมาก แต่ไม่มีใครเด่นเลยแหะ เพราะจะบอกว่า บทไม่ส่งเลย ทั้งที่จริงๆ บทมันส่งเสริมคาแรคเตอร์ของตัวละครต่างๆได้มากกว่านี้นะ แต่หนังไม่ทำตรงนี้ออกมาเท่าไหร่ เลยกลายเป็นเอาดาราเทพๆ มาเล่นแบบกั๊กๆ พอดูจบเลยไม่สุด ที่พอจะเด่นมากก็คงจะเป็น Jessica Chastain ในบทของ Maggie ที่เธอดูสวยแบบหม่นๆจริงๆ ดูแล้วหลงเลยแหละ  ส่วนคนอื่นๆก็บอกได้ว่าดีตามมาตรฐานเท่านั้น โดยเฉพาะ Guy Pearce ที่รับบท Charlie Rakes นั้น แอบเสียดายของ เพราะเอาคนอื่นมาเล่นให้ดูน่ารังเกียจแบบนี้ท่าจะไม่ได้ยากอะไร 

การดำเนินเรื่อง กระชับดี มีแอบง่วงบ้างแต่เล็กๆเท่านั้น บทก็เขียนออกมาได้ดี แต่นั่นแหละ มันไม่เยี่ยมยอดอย่างที่ใครๆว่ากันตอนฉายที่คานส์ซักหน่อย ก็เลยไม่ได้เลิฟอะไรมาก

สรุป Lawless เหมาะกับคนที่ชอบดูหนัง Gangster เบาๆ ที่ไม่ได้นับถอยหลังแล้วหันมายิงกันแบบ The Gangs of New York มีเนื้อเรื่องที่โฟกัสกับเฉพาะกลุ่มสังคมๆนึงเท่านั้น  และมีองค์ประกอบหนังที่พอดี แต่ไม่ไช่หนังสเกลใหญ่ ใครชอบเนื้อเรื่องที่เข้มข้น การดำเนินเรื่องแบบลุ้นบ่้าง ปล่อยบ้างเป็นจังหวะ ไม่ผิดหวังครับ แต่อย่างที่บอก อย่าไปคาดหวังมากจากหน้าดาราที่มาเล่นกัน เพราะคุณ อาจผิดหวังได้นะ 55+




วิจารณ์ภาพยนต์ - Movie review : The perks of being a wallflower



the perks of being a wallflower 9/10

the perks of being a wallflower  เป็นหนังโรแมนติค ดราม่า จิตวิทยา ปนคอมมาดี้ ที่จัดว่าเป็น coming of age อีกเรื่อง ที่เอามาจากนิยายเขียนเป็นตอนๆที่ดังมากเมื่อปี 1999 ที่มีชื่อเดียวกัน แต่งขึ้นโดย Stephen Chbosky และได้ทำออกมาเป็นนิยายเสียงโดยมี MTV เป็น promotor  ด้วยนะเออ ทำให้ได้ใจวัยรุ่นยุคฟองสบู่แตกไปโข  ในเวอร์ชั่นภาพยนต์นี้ ก็ได้ผู้แต่งเองนั่นแหละ มากำกับเองเลยครับ ซึ่งอาจจะดูไม่แน่ใจนักว่าจะออกมาเป็นสับปะรดรึเปล่า แต่พอดูจากประวัติแล้ว ผกก.คนนี้ เคยเขียนบทเรื่อง Rent(2005) และ TV series หลายเรื่องของ CBS มาก่อน ก็ดูไม่น่าเป็นห่วงนัก

สำหรับคอหนังอย่างเราๆ สิ่งที่ดูน่าสนใจมากที่สุดในหนังเรื่องนี้ หนีไม่พ้นนักแสดงนำทั้ง 3 คน อันได้แก่
1. Logan Lerman หนุ่มน้อยหน้าใสวัยขบเผาะที่ผู้เขียนชอบมากเป็นการส่วนตัว โด่งดังมาจาก Gamer , Percy Jakson และ the Three Musketeers ขวัญใจติ่ง
2. Emma Watson จาก Harry Potter ขวัญใจชาวโลก
3. Ezra Miller รูปหล่อจัดที่มีสายตาน่ากลัวเหลือเกินจาก We need to talk about Kevin ขวัญใจเด็กแนวและนักวิจารณ์

หนังเล่าเรื่องเกี่ยวกับ Charlie หนุ่มน้อยที่มีปัญหาการเข้ากับสังคม เนื่องจากปมต่างๆของตัวเขาเอง ซึ่งปัญหาที่ชาร์ลีมีนั้น ไม่ใช่เรื่องเล็กๆแบบโตมาแล้วหาย หรือเรื่องแบบนี้ก็ต้องเป็นกันทุกคนละว้า  .... แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น

ปัญหาวัยรุ่นยุค '80-'90 นั้นแหละที่เป็นจุดเด่นมากๆของเรื่อง เนื่องจากมันมีความใกล้เคียงกับวัยผู้เขียนมาก เอาเป็นว่า ใครเกิด 197x-1985 น่าจะอินกับองค์ประกอบหลายๆอย่างในหนังเรื่องนี้แน่ๆ ทั้งการใช้ชิวิตในวัยเรียน กิจกรรมในเวลาว่าง เพลง ปั๊ปปี้เลิฟ ความฝันวัยเด็ก เพื่อน และอีกมากมาย ......
แล้วอะไรล่ะคือเรื่องของเด็กวัยนั้น

การถูกแบ่งแยกออกเป็นกลุ่มๆจากสังคมตามความเป็นตัวตนของเด็ก ในยุคนั้น คนมักแบ่งพรรคแบ่งพวกกันตามความชอบและสิ่งที่เขาเหล่านั้นเป็นอย่างชัดเจน เช่น นักกีฬา ก็จะคบกับแต่นักกีฬา และเป็นพวกที่อยู่สูงสุดในห่วงโซ่อาหาร เด็กเนิร์ด ก็จะอยู่แต่ในห้องสมุด อะไรแบบนี้ ซึ่งเป็นที่มาของการมี "looser" หรือ "ไอ้ขี้แพ้" ในสังคม  เด็กยุคนั้นมักถูกคนอื่นตัดสินว่าตัวตนของเขาเป็นเช่นไรจากการมองของคนอื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่แฟร์มากของสังคมสมัยนั้น และนั่นเองนี่แหละ ที่ทำให้คนสมัยนี้ ติดนิสัยใส่หน้ากากเข้าหากัน และเอาแต่ห่วงภาพลักษณ์กันจนสังคมพังครืน!!




**เนื้อหาต่อจากนี้ จะมีสปอยล์บ้าง ใครยังไม่ดู ข้ามไปเลยครับ**

ผู้เขียนไม่ได้คาดหวังกับหนังเรื่องนี้เท่าไหร่ในตอนแรก แต่จากกระแสในแง่บวกของเหล่านักวิจารณ์อิสระทั่วโลก เลยทำให้รอคอยการมาเข้าฉายที่ไทยอย่างใจจดใจจ่อ 


หนังเริ่มต้นเรื่องด้วยการเขียนจดหมายถึงใครสักคน คนที่เรียกว่า...เพื่อน.. ของ ชาร์ลี (Logan Lerman) หนุ่มน้อยวัย 14 ปีที่กำลังจะเข้าไปเรียนที่โรงเรียน High School แห่งหนึ่งในวันรุ่งขึ้น ชาร์ลีเขียนจดหมายนั้นเหมือนเล่าเรื่องที่เขารู้สึกให้เพื่อนสนิทคนนึงฟัง การเขียนจดหมาย เป็นส่วนสำคัญของชีวิตเขาเลยทีเดียว และจดหมายนั้น ก็ไม่ได้ส่งไปหาใคร เขาเพียงใช้มันเป็น"เพื่อน"เท่านั้น  ในขณะที่ใครบางคน อาจจะยืนอยู่ในจุดที่มีคนห้อมล้อมมากมาย แต่บางคน อาจไม่มีใครเลยก็ได้ และนั่นคือสิ่งที่ชาร์ลีเป็น  เขา..... ไม่มีใคร

หนังดำเนินไปตามสูตรของหนังวัยรุ่นเป๊ะ คือเข้าไปแล้วโดนแกล้ง มีขาใหญ่คุม โดนกระแนะกระแหนจากคนที่นั่งข้างๆ และไม่มีใครยอมให้นั่งด้วยที่โรงอาหาร... แน๊ะ!!! อะไรจะสูตรขนาดนี้ 

จนกระทั่งเกิดการพบเจอกันกับเพื่อนที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ อย่างเจ้า Patrick ( Ezra Miller) พี่แก่วัยควรเรียนจบของโรงเรียน คนที่เห็นแวบแรกแล้วทำให้ชาร์ลี ยิ้มได้ คนที่เปิดรับ ชาร์ลีเป็นเพื่อนอย่างง่ายๆ และในที่สุด ก็เป็นที่มาของเรื่องราวมากมายทั้งหมดในหนัง 



จุดเด่นสุดๆในหนังเรื่องนี้ เป็นอะไรที่ surprise มาก นั่นคือการแสดงอันโดดเด่นของ Logan Lerman และ Ezra Miller
CHARLIE : Dear Friend, I'm sorry I haven't written in awhile, but I've been trying hard to not be a loser. 

โลแกน ในบทชาร์ลีนั้น ดูน่าเชื่อถือมากจนเรา"อิน"จัด ทั้งบุคคลิกภายนอก แววตา ภาษากาย ทุกอย่างที่โลแกนแสดงออกมานั้น เอาคนดูได้อยู่หมัด 

ชาร์ลี เป็นเด็กมีปัญหา มีบุคคลิกแปลกๆ และมีป้่าเฮเลนผู้จากเขาไปแล้ว เป็นเหมือนไอดอลของเขา แน่ละ เขาเป็นเด็กหน้าน่ารักแบบไม่โดดเด่น ดูประหม่าๆ แต่ก็สดใสทุกครั้งที่ยิ้ม มีด้านอ่อนหวาน นุ่มนวล ตลก เอ๋อ แข็งกระด้างบางครั้ง และควบคุมตัวเองไม่อยู่ ซึ่งเป็นด้านที่เด็กวัยรุ่นทุกคนมีและเป็น เขาพยายามเป็นสิ่งที่เขาควรจะเป็น คิดในสิ่งที่ควรคิด ตามกรอบที่สังคมตีค่าเอาไว้ 

ในวัยที่เรายังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ เรามักแสดงตัวตนด้านต่างๆออกมาแบบนี้แหละ โลแกน ตีบทแตกกระจุย เอาเป็นว่า โลแกนทำให้เราลืมไปเลยว่าเด็กหน้าตาใสแบ๊วคนนี้ เคยเป็นเพอร์ซี่ แจคสัน มาก่อน โลแกนเล่นได้ดีทั้งตลอดเรื่อง บุคคลิกต่างๆที่ ชาร์ลีเป็นนั้น จะค่อยๆพัฒนาไปเรื่อยๆ ตามการดำเนินเรื่องในหนัง แต่ที่น่าจดจำมากๆ น่าจะเป็นตอนเหตุการณ์ในโรงอาหาร กับช่วงท้ายเรื่อง ที่เขาพบกับความสุขแปลกๆบางอย่างจากการสัมผัส และค้นพบแล้วว่า เขา......... มีปมอะไรในใจ  และนั่นเป็น the biggest surprise ของหนังเลยก็ว่าได้



นาฬิกาของทั้งคู่ แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างในตัวตน
ที่เขาทั้งสองต้องการจะเป็นและต้องการให้คนนอกรับรู้ 

ในส่วนของไอ้หล่อ เอซรา ในบทแพทริก ต้องบอกเลยว่า เป็นการขโมยซีนที่โดดเด่นและน่าจดจำมาก การแสดงที่ดีเลิศและเป็นธรรมชาติมากๆของเอซรานั้น ติดตาตรึงใจคนดูมากไม่แพ้ตอนเล่นเป็น kevin เด็กที่มีความบิดเบี้ยวในจิตใจอย่างสุดโต่งใน we need to talk about kevin เลย ขนาดที่ว่าถ้าใครไม่เคยดูหนังที่อีตานี่เล่นมาก่อน จะต้องกลับมาหาหนังเก่าๆที่อีตานี่เล่นไว้มาดูเป็นแน่ อารมณ์เหมือนสมัยที่ Rupert Everest ขโมยซีนยัยจูเลีย บี๊กจ๊วบ กับป้าคาเมรอน ดิแอซ ในเรื่อง My Best friend's Wedding นั่นแหละ ที่ใครๆก็พากันหลงรักเพื่อนเกย์ของนางเอกกันเป็นแถว 

ความสดใส การแสดงออกในภาพที่ดูร่าเริงและมีอารมณ์ขันตลอดเวลาของแพทริกนั้น ขัดกับสภาพจิตใจที่เขาเป็นอยู่อย่างสิ้นเชิง เขาเลือกที่จะปกปิดมันเอาไว้ด้วยการแสดงออกอย่างนั้นต่อหน้าคนอื่น แต่เรารับรู้ได้เต็มๆจากสายตาและภาษากายที่แพทริกเป็น ว่าเขา..ไม่ได้โอเคและแข็งแรงสักหน่อย  อินเนอร์แรงมากทั้งเรื่อง และการหลุดออกจาก"เปลือก"ในฉากสวนสาธารณะนั้น เป็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ที่แพทริกยอมรับตัวตนด้านอ่อนแอของตัวเองออกมา และดูเหมือนว่าเขาจะมีความสุขอยู่ลึกๆในชั่วขณะนั้น และนี่แหละ พีกสุดสำหรับ แอซรา

อีกอย่างที่น่าจะทำให้การเล่นของ เอซรา ดูเจ๋งมาก คิดเอาเองว่าน่าจะเป็นเพราะความใกล้เคียงกันกับชีวิตและตัวตนจริงๆของเขาเองด้วย ซึ่งต้องชม Casting ว่าเก่งมาก ที่เอาเอซรา มาเล่นเป็นแพทริกได้  (มีนักวิจารณ์หลายคนบอกว่าการมารับบทแพทริกของแอซรานั้น เป็นการลดเครดิตทางด้านการแสดงที่เขาได้มาเต็มๆจาก we need to talk about kevin แต่ตัวผู้เขียนไม่คิดแบบนั้น)



นักแสดงคนอื่นๆก็เล่นได้ดีตามมาตรฐาน น้องเฮอร์ไมโอนี่ ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่น่ารักและยิ้มทุกครั้งที่น้องปรากฎตัว บทอาจจะไม่ส่งเธอมากเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าดีเยี่ยมตามมาตรฐานการแสดงของเด็กไอคิวสูงคนนี้ 

"---Mary Elizabeth is a nice person underneath the parts of her that hate everybody."

อีกคนที่ควรพูดถึงซักหน่อย คือ Mae Whitman ซึ่งรับบทเป็น Mary Elisabeth นี่ก็อีกตัวขโมยซีน เธอเคยเล่นเป็นลูกสาวจอมถามของคุณพ่อ จอร์จ คลูนีย์ ใน One fine day (1996) หนังผู้ใหญ่ Feel good อีกเรื่องที่ควรดู ในบท Mary นั้น นางเล่นได้น่ารัก น่าตบ และส่งนางให้เป็นจุดเด่นมาก อันนี้ชอบเองเป็นการส่วนตัว แล้วเพื่อนของผู้เขียนที่ไปดูด้วยกันก็ชอบนางไม่น้อย

             

ในส่วนของตัวหนังเอง ก็พาเราไปอยู่ในจุดที่อินมากๆได้บ่อยครั้ง โดยเฉพาะครึ่งหลังของเรื่อง ที่ทำเอาเราน้ำตาคลอเบ้าไปกับเนื้อเรื่องที่ตรงและโดนใจคนเกิดยุคเรามาก เช่น การรักใครซักคนที่เราคิดเอาเองว่าเราไม่คู่ควร  วัยรุ่นส่วนมากมักคบกับคนที่เราไม่ได้หวังใจเอาไว้แต่แรก เป็นอารมณ์จับพลัดจับผลูมากกว่า แต่ไอ้คนที่อยากจีบน่ะ ไม่เคยกล้าหร๊อก แล้วสุดท้าย โอกาสแห่งความสุขในวัยนั้นที่เราควรจะได้รับก็จะผ่านไปอย่าง sad sad .... สาเหตุทั้งหมดนะเหรอ ก็มาจากการไม่กล้า และไม่รู้จักคุณค่าที่แท้จริงของตัวเองนั่นแหละ 

               " SAM :  Why do I and everyone I love pick people who treat us like we're nothing? 
                                                      CHARLIE:  We accept the love we think we deserve.        "


เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในหนัง ทั้งงานเลี้ยงจบมัธยม วันสุดท้ายของการเรียน การสูญเสียเพื่อนสนิทในวัยเดียวกัน(ซึ่งในหนัง ไม่เน้นมากเท่าในนิยาย) การชวนคนที่เราแอบปิ๊งมาเต้นรำ หรือแค่แอบมองเขาที่กำลังมีความสุขอยู่กับคนอื่นแล้วอึดอัดฉิบเป้งเลยว่ะ  การอัดเทปบอกความในใจกับคนที่เราชอบ กลิ่นโรงยิมตอนกลางคืน กลิ่นโรงอาหารโรงเรียน และอะไรสารพัด อาจลอยเข้าหัวคุณโดยไม่ทันตั้งตัว นี่แหละ จุดเด่นอีกจุดของเรื่องนี้

อีกจุดนึงที่น่าสนใจมาก คือประเด็นเรื่องการยอมรับใน"ความไม่เพอร์เฟค" ของคนเรา อย่างเช่นการสอบได้แค่ C- ของแพทริกที่เขาเองและเพื่อนๆไม่ได้มองว่ามันแย่เลย ก็นี่แพทริกนี่นา  C- ก็ใช่แล้วนี่ เป็นต้น
                               "  PATRICK : C minus, ladies and gentlemen! I am below average! 
                     SAM : Below average! 
                                             PATRICK : Below average!   "



"เย้ เย้ ...ชั้นทำได้แล้ว ชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน"
ฉากน่าประทับใจที่ทำให้เรากลับมาคิดได้อีกเยอะ

หนังพยายามหยิบยื่นข้อบกพร่องต่างๆของตัวละครหลักออกมาให้เราเห็นกันตั้งแต่ต้นเรื่อง แล้วทำให้เรายอมรับความไม่เพอร์เฟคนั้น ผ่านมุมมองที่คนดูสร้างขึ้นมาเองในระหว่างที่ดูหนังไปเรื่อยๆ หนังผลักภาระนี้ให้คนดูมีส่วนร่วมมาตั้งแต่เริ่มเรื่อง เห็นชัดมากจากฉากที่ แพทริกยอมรับชาร์ลีเข้ากลุ่มในฐานะเพื่อนใหม่ เริ่มยอมรับและเปิดใจมากขึ้นในฉากงานเต้นรำ จนกระทั่งพาชาร์ลีไปเปิดตัวกับสังคมของพวกเขาในงานปาร์ตี้บราวนี่ ที่แพทริกพูดประโยคเด็ดว่า " นายคอยแต่ที่จะเรียนรู้คนอื่น แอบดูคนอื่นอยู่อย่างกับดอกไม้ในซอกกำแพงแน่ะ.... "





หลังจากนั้น หนังก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆโดยเน้นการเล่าเรื่องถึงความเป็นตัวตนของตัวละครแต่ละตัว ละเอียดบ้าง ผิวเผินบ้าง แต่ก็เอาคนดูเข้าไปอยู่ในนั้นได้สำเร็จ เคมีต่างๆก็เริ่มลงตัวขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งเราเริ่มถูกกลืนเข้าไปอยู่ในจุดของตัวละครหลักแบบไม่รู้ตัว

หนังต้องการสื่อประเด็นเรื่อง เมื่อเรายอมรับและเข้าใจในตัวตนของใครไปแล้ว เราก็จะมองข้ามความไม่พอดีนั้นไป และเปิดใจเลือกมองแต่ด้านที่ดีมากกว่า เพราะไม่อย่างนั้น สิ่งที่ดีๆของคนคนนั้น ก็จะสูญเปล่า  เหมือนอย่างที่เรารักชาร์ลี รักเพื่อนๆของเขาทุกคน จนเรารับได้กับทุกสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในหนัง ไม่ว่าใครเคยผ่านอะไรมาในอดีต (ชัดเจนที่สุดระหว่างชาร์ลี กับแซม)ใครจะเป็นแบบไหนในตอนนี้  และใครจะแยกไปทางไหนในอนาคต เราก็พร้อมจะเข้าใจและไม่เลิกรักคนคนนั้นอยู่ดี และความรู้สึกแบบนี้มันมักจะเกิดขึ้นเองแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

หนังยังมีประเด็นอื่นๆอีกมากมายแทรกอยู่ระหว่างการดำเนินเรื่อง เช่น เรื่องการยอมรับในเพศและศาสนาที่แตกต่างกัน ความผิดปกติทางจิตใจของเด็กที่มีแผลมาจากผู้ใหญ่ การล่วงละเมิดทางเพศ และอีกมากมายหลายประเด็นจนสามารถพาลต่อยอดไปได้อีกหลายเรื่อง แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่คนเราควรจะทำให้ได้ และหนังเรื่องนี้ได้มอบความคิดนี้ให้กับคนดูนอกจากการยอมรับคนอื่นแล้ว คือการยอมรับในความผิดพลาดที่ผ่านมาในอดีตของเรา และสิ่งที่ตัวเราเองเป็นในปัจจุบันให้ได้ เมื่อเรายอมรับและรู้ตัวตนของเราแบบทะลุเปลือก ทางที่เราจะก้าวต่อไปข้างหน้า ก็คงไม่ได้มีแต่ทางมืดๆแน่นอน เหมือนกับที่เนื้อเพลงในอุโมงค์ของ ชาร์ลี แซม และแพทริก บอกไว้ว่า "เราเป็นฮีโร่ได้ ไม่ว่าเราจะเป็นใคร มาจากไหน เราก็เป็นฮีโร่ได้สักทางแหละน่า" (ผู้เขียนอินมากตอนนี้ เพราะรู้สึกว่า ชาร์ลี ได้ทะลุเปลือกออกมาแล้วในฉากที่ว่านี้ ในขณะที่เพื่อนรักของเขาทำได้แล้วก่อนหน้านั้น)



เมื่อดูจบ อะไรที่คุณได้ออกมาจากโรง ล้วนเป็นสิ่งที่คุณอาจจะเคยผ่านมาแล้วทั้งสิ้น แต่คุณเองอาจจะมาคิดได้เอาตอนนี้เอง คุณอาจร้องไห้ออกมา แต่ไม่ใช่เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนังหรอก แต่มันเป็นเพราะหนัง มันพาลทำให้คุณนึกไปในเรื่องราวต่างๆของคุณเองต่างหาก นั่นคือสิ่งดีๆ แย่ๆต่างๆที่คุณจำได้ แล้วก็นึกถึงทีไร ก็น้ำตาไหลทุกที.. แบบนั้นแหละ

"จงยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ และมีอยู่" กับ "จงยอมรับและเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นเป็นและมีอยู่ เช่นกัน" แค่นั้นเอง เราก็จะมีความสุขกับสังคมที่เราอยู่ได้ไม่ยากเลย

ฉากนี้แหละ ที่ผมได้กลิ่นอากาศตอนพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า
เมื่อครั้งที่ผมกับเพื่อนๆแอบขึ้นไปบนดาดฟ้าโรงเรียนกัน
 "--CHARLIE : I don't know if I will have the time to write anymore letters because I might be too busy trying to participate. So if this does end up being the last letter I just want you to know that I was in a bad place before I started high school and you helped me. Even if you didn't know what I was talking about or know someone who has gone through it, you made me not feel alone. Because I know there are people who say all these things don't happen. And there are people who forget what it's like to be 16 when they turn 17. I know these will all be stories someday. And our pictures will become old photographs. We'll all become somebody's mom or dad. But right now these moments are not stories. This is happening, I am here and I am looking at her. And she is so beautiful. I can see it. This one moment when you know you're not a sad story. You are alive, and you stand up and see the lights on the buildings and everything that makes you wonder. And you're listening to that song and that drive with the people you love most in this world. And in this moment I swear, we are infinite.--"



รักหนังเรื่องนี้มากครับ คิดว่าจะเป็นหนังขึ้นหิ้งที่จะฉายภาพซ้ำๆในหัวผมได้... ตลอดไป

ขอบคุณที่ติดตามอ่าน และแชร์ความคิดเห็นกันได้นะครับ




Tuesday, October 9, 2012

รีวิว - REVIEW : CLINIQUE derma white clinical brightening essence

เอสเซนส์บำรุงผิวแบบโอนโยน ที่จะปรับสภาพผิวของคุณให้เรียบเนียน กระจ่าง สว่างใสในชั่วพริบตา.. จริงๆนะ

ได้เวลามาเจอกันอีกรอบ กับรีวิวที่ 3 ของบล๊อก TRY IT BY ME  คราวนี้ พระเอกของตอนคือเจ้า CLINIQUE derma white clinical britening essence เจ้าครับ^_^

อย่างง ว่าทำไมกบเอาผลิตภัณฑ์ CLINIQUE มารีวิวต่อเนื่องกัน 2 ตัวเลย ไม่มีอะไรในกอไผ่เลยครับ แค่มันเป็นหนึ่งใน skincare ที่ใช้ค่อนข้างบ่อยเกือบทุกวันในช่วงหน้าร้อนต่อเนื่องมาจนหน้าฝนนี้ เนื่องจากว่าหน้าร้อนบ้านเราเนี่ย ร้อนแลบแสบสันต์ แถมต่อมาด้วยหน้าฝนอันชื้นฉ่ำ พลอยทำเอาผิวมันเยิ้มอย่างกบมันหนักเข้าไปใหญ่ แถมตามมาด้วยสิวสารพัดชนิด ทั้งอักเสบและอุดตัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดชึ้นเป็นปกติประจำทุกปี แล้วเจ้าฤดูร้อน ต่อฝนเนี่ยแหละ ที่ชอบทิ้งร่องรองแดงเป็นจ้ำๆ ดำเป็นจุดไว้ทั่วทั้งหน้าเลยครับ

CLINIQUE derma white clinical brightening essence
กบมีโอกาสได้ไปซื้อเจ้านี่มาลองใช้จาก Gotemba outlet ที่ซึ่งมีร้าน cosmetic store  ซึ่งขายเครื่องสำอางค์มากมายจากอเมริกาในราคาถูกบ้างแพงบ้าง แต่สาบานว่าของยังดีอยู่และไม่หมดอายุแน่นอน กบได้เจ้านี่มาในราคาแสนสบายกระเป๋า 14,750 เยน ตกเป็นเงินบาทก็ประมาณ 5,900 บาท .... เอ๊ะ!! แพงจัง แต่เดี๋ยวก่อน ที่จ่ายไปเนี่ย ได้เจ้า derma white ขนาด 30ml มา 2 ขวด (ซึ่งบ้านเราขายขวดละ 3,200 บาท) บวกกับ tester หลอดเล็กขนาด 7ml  อีก 14 หลอด (เท่ากับ 98ml) และ tester แบบซองขนาด 3ml อีก 30 ซอง (เท่ากับ 90ml) ..... อุแม่เจ้า สรุปว่าคุ้มเว่อร์จนไม่ต้องไปตามซื้อที่อเมริกาแต่อย่างใด (เพราะหาไปก็ไม่เจอ ไม่มีขาย) ก็ได้ของถูกมาครอบครองโดยง่าย ^_^ (อยากรู้ว่าคุ้มแค่ไหนก็กดเครื่องคิดเลขเอานะจ้ะ)

เจ้า CLINIQUE derma white clinical britening essence นี่เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ในไลน์ derma white ที่มีชื่อเสียงมานับสิบปี มีขายแค่เฉพาะประเทศแถบเอเชียเท่านั้น การันตีโดยผู้ใช้ทั่วโลกที่พอใจกันกว่า 84% จากการสำรวจปีล่าสุดที่ญี่ปุ่น นับว่าน่าลองไม่น้อยใช่ไหมครับ ที่สำคัญคือ จากผลสำรวจความพอใจนั้น คะแนนที่สูงอันดับต้นๆที่ผู้ถูกสำรวจให้คือเรื่องของจุดด่างดำและความสม่ำเสมอของสีผิว ซึ่งเป็นโจทย์ที่เรากำลังจะพิสูจน์กัน

**รีวิวนี้ ไม่ได้ทดสอบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เป็นการทดลองใช้ของผู้เขียนบลอคเอง โดยกำหนดเวลาในการใช้ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นอย่างต่ำที่ 14 วัน ขึ้นไปเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนกับตัวผู้เขียนบลอคเอง ผู้อ่านกรุณาใช้วิจารณญานในการรับข้อมูลด้วยครับ**


CLINIQUE derma white clinical brightening essence
   
30 ml 3,200 THB
Main Ingredients;
ACID,YEAST EXTRACT/FAXE/EXTRACT DE LEVURE, GLYCYRRHETINIC ACID, POLYSORBATE20, ISOHEXADECANE, PROPYLENE GLYCOL DICAPRATE, HELIANTHUS ANNUUS(SUNFLOWER)SEEDCAKE, DIMETHOXYTOLYL, PROPYLRESORCINOL, POLYSORBATE80, SODIUM HYALURONATE, TROMETHAMINE, DI-C12-18 ALKYL DIMONIUM CHLORIDE, SODIUM RNA, ACETYL GLUCOSAMINE, SQUALANE, TOCOPHERYL, SODIUM SULFITE, SODIUM METABISULFITE, ACRYLAMIDE, SIDIUM ACRYLOYLDMETHYLTAURATE COPOLYME, CAPRYLYL GLYCOL, HEXYLENE GLYCOL, DISODIUM EDTA, PHENOXYETHANOL, YELLOW6, YELLOW5

ดูจากส่วนผสมแล้ว ไม่เห็นมีไวท์เทนนิ่งเลยแหะหรือว่าไอ้ยีสต์ที่มีอยู่ในนี้นะ จะช่วยให้ขาว มีกรดที่เป็นตัว firmimg อยู่หลายตัว มีกรดผลัดเซลล์ผิวอยู่ แล้วก็มีตัวลดการอักเสบอยู่นิดนึง แถมด้วยสารพัดตัวชุ่มผิวและเคลือบผิว งั้นมันจะลดเลือนจุดด่างดำได้จริงอ่ะ?

ขวดจริงเป็นพลาสติกที่ดูดี มีสีขาวทึบกันแสงลอดเข้าไปทำลายส่วนผสมได้
ตามคำอธิบายในเอกสารกำกับ เคลมว่าหลังการใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 4 สัปดาห์ จะสามารถสังเกตได้ถึงสภาพผิวที่เรียบเนียนขึ้น ลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำได้ ส่วนการใช้นั้น อ่อนโยนเพียงพอที่จะใช้ได้ทุกๆวันทั้งเช้า - เย็น สำหรับผิวทุกชนิด(1 2 3 4 ในแบบที่คลินีกเรียก) ใช้หลังทำความสะอาดผิวหน้า แล้วตามด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ จบ..

สีของ essence ออกขาวขุ่น ค่อนไปทางเหลือง เนื้อเหนียวข้นมาก
วิธีการใช้คือ กด essence ออกมาจากขวดปั้ม เอาประมาณเหรียญ 25 สตางค์ก็พอครับ เพราะว่าเนื้อค่อนข้าง rich มาก กดเยอะก็เปลือง^_^ เนื้อ essence ข้น เหนียวมาก ไม่มีกลิ่นน้ำหอม แต่มีกลิ่นเหมือนยานิดๆ แต่พอลงผิวไปแล้ว ไม่ทิ้งกลิ่นไว้บนผิวแต่อย่างใด

แล้วก็นั่นเลย.... ละเลงอย่างเมามือ เอ๊ย เบามือ ความรู้สึกตอนเกลี่ยเจ้า essence ตัวนี้คือ.... แหยะๆ แฉะๆ เหนียวหนืดมาก อึ๋ยยย.... เหมืิอนเต้าส่วนที่ไม่ชอบกินที่สุด!!

แฉะ หนืด เหนียว ยืดมาก

แต่พอเกลี่ยจนทั่วแล้ว ไม่กี่วินาทีก็ซึมและแห้งไปอย่างไม่ทิ้งคราบ ออกแนวเคลือบๆผิวอยู่คล้ายๆแป้ง พอสัมผัสไปที่ผิวแล้วจะรู้สึกลื่นๆ แห้งๆ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากเจ้าสารเคลือบผิวที่ผสมอยู่นั่นเอง ซึ่งเจ้านี่แหละที่หลอกให้เราคิดว่า แหม ซึมเร็วจัง แล้วไม่มันด้วย..
อึ้งไปเลย เพราะเห็นผลทันทีที่ทาลงผิว ว่าเรียบเนียน ขาวขึ้น
สังเกตได้ชัดเจนว่าผิวดูเรียบเนียนขึ้นทันทีเหมือนมี silicon ผสมอยู่ เพราะผลลัพธ์แบบนี้ไม่มีอย่างอื่นแน่ๆในผลิตภัณฑ์ราคานี้ พอทิ้งไว้สักพัก ก็จะเหมือนผิวปกติ ไม่มันเงา แต่ก็ไม่แห้งและไม่ฝืดผิว หลังจากนั้นก็ทาครีมบำรุงตัวอื่นลงไป พบว่าไม่มีปัญหากับการดูดซึมของผิว ครีมยังคงลงไปในผิวได้อยู่เหมือนปกติ

การใช้ในตอนเช้า กับครีมกันแดดปกติไม่มีปัญหา แต่กับพวกเบสที่เป็น silicon นี่หลีกเลี่ยงได้กรุณาหลีกเลี่ยงเลยครับ เพราะทาแล้วเกลี่ยไม่ไป จะเป็นปื้นๆง่าย ควรใช้กันแดดหรือรองพื้นที่เป็น water based หรือ เนื้อโลชั่นทั่วๆไปจะดีกว่าครับ


มาในเรื่องของผลลัพธ์จากการใช้บ้าง
(4 MAY 2012 - 27 SEP 2012)

ครั้งแรกที่ใช้ = ผิวชุ่มชื่นแน่นอน และรู้สึกว่าผิวเรียบเนียนขึ้น ขาวใส กระจ่างขึ้นทันทีแบบหลอกตากันชัดๆ^_*

หลังจากใช้ต่อเนื่อง เช้า-ก่อนนอน เป็นเวลา 7 วัน = อืมม ขาวขึ้นนิดหน่อยแบบสังเกตได้จากรอยดำที่เกิดจากสิวลดลงเร็วขึ้น แต่ยังเกาะแน่นหน้าอยู่นะเออ สีผิวสม่ำเสมอขึ้นเป็นบางบริเวณ รูขุมขนแน่น กระชับขึ้นบางบริเวณที่ไม่มีปัญหามาก แต่ก็ไม่ได้เลือนหายไปแบบ 100% 

หลังจากใช้ต่อเนื่อง เช้า - ก่อนนอน เป็นเวลา 14 วัน = เออเว้ย ... ขาวขึ้นจริงๆ แต่ไม่ได้แบบขาวขึ้นตามแถบวัดสีผิวขนาดนั้น  แต่ดู glow ขึ้น แบบมีออร่าวิ้งๆที่ผิว แล้วผิวแลดูเกลี้ยงเกลาขึ้น สีผิวดูเข้ากันทั้งหน้า ไม่กระดำกระด่าง รอยดำเก่าๆค้างปีดีชึ้นนิดหน่อย แต่จุดและรอยดำจากสิวใหม่ๆก็ยังไม่หายนะ แต่จางลงอย่างเห็นได้ชัด..... แต่ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าไม่รู้ ว่าผิวออกขาวไปทางเหลืองๆแหะ 555

หลังจากใช้อย่างต่อเนื่องบ้างไม่ต่อเนื่องบ้าง เป็นเวลา 4-5 เดือน = หมดไป 1 ขวดกับอีก 10 ซองเทสเตอร์ ก็ต้องให้เครดิตกับเจ้านี่ว่ามันช่วยเรื่องการปรับสภาพผิวให้กระจ่าง สว่าง เรียบเนียนขึ้นได้จริงอย่างที่เคลมไว้ แต่ไม่ได้ขาวนะ คือความขาวกับความกระจ่างใสมันเป็นอะไรที่เส้นบางๆ แต่มันคนละเรื่องกันนะ ใครอยากขาวขึ้น ตัวนี้คงไม่ตอบโจทย์ แต่ถ้าอยากดู blink ขึ้นก็จัดเลย ส่วนจุดด่างดำนั้น กบว่าไม่ได้หายไปอย่างที่คาดหวัง เต็มที่ได้แค่จางๆลงเท่านั้น ตัวนี้อาจจะด้อยกว่าสินค้าตัวอื่นๆในแง่นี้ ทั้งๆที่เป็นสโลแกนผลิตภัณฑ์นะเนี่ย

ข้อดี
- ใช้ได้โดยไม่รู้สึกแพ้เลย สิวไม่ขึ้น ไม่อักเสบ ไม่ทำร้ายผิว 
- การซึมซับดีเยี่ยม ถึงจะรู้สึกถึง silicone อยู่ตะหงิดๆ ก็เถอะ
- ไม่มันเลย ไม่มันแน่ๆ เพราะกบเป็นมนุษย์ที่หน้ามันที่สุดแล้วในสามโลก แต่นี่ไม่มัน แปลว่าไม่มัน!!
- ผิวมีออร่า นี่แหละคำตอบง่ายๆ ไม่ต้องวิ่งไปหา Cyber white ของพี่ใหญ่เอสเต้หรอก อันนั้นกับอันนี้นะ สูสี แต่นี่ถูกกว่านิดนึง
- หน้า firm ขึ้น แน่นขึ้นอย่างไม่คาดหวัง แต่ดันได้ผลลัพธ์นี้มาแหะ
- ไม่รู้สึกถึงการกัดผิวจากสารผลัดผิวที่ผสมอยู่ แปลว่าตัวประโลมผิวที่ผสมมาช่วยได้ 

สรุปคะแนน 3.45/5

ข้อเสีย
- ก็ไม่ถูกนะ ถ้าเทียบกับปริมาณและราคาและผลลัพธ์ที่ได้ ตอบไม่ได้เต็มปากว่าคุ้มเหมือน laser focus อันนี้ก็ดีนะ แต่แบบ แพงนิดนึงอยู่
- ให้ผลลัพธ์ที่แท้จริงได้ ต้องใช้ระยะเวลานาน 60 วันขึ้นไป คือเห็นผลช้านั่นเอง
- ไม่ได้ดีขนาดที่ทำให้เปลือกไข่นกกระทาขาวทั้งใบได้หรอก  

เหมาะกับ ผู้ที่มีสภาพผิวดีอยู่แล้วหรือแค่มีปัญหาเล็กน้อย อาจจะมีรอยสิวตกค้าง หรือพวกที่เพิ่งไปยิงเลเซอร์มา น่าจะทำให้สีผิวฟื้นตัวมาเท่ากันเร็วขึ้น  
อีกเรื่องที่ essence ตัวนี้ให้ได้แน่ๆ คือความสว่างของผิว ถ้าใครหาคำตอบนี้อยู่ละก็ คุณจะชอบผลิตภัณฑ์นี้แน่ๆ เพราะมัน glow จริงๆ 
สุดท้าย กบว่ามันเหมาะกับคนที่มีผิวแพ้ง่าย เพราะ essence ตัวนี้ค่อนข้างเบา ส่วนผสมก็ไม่ทำร้ายผิว เพราะฉะนั้น น่าจะเป็นตัวเลือกในกลุ่ม brightening ที่ดีที่สุดตัวนึงสำหรับผิวแพ้ง่ายและผิวที่ไม่ถูกกับกรดต่างๆครับ  !!!


ขอบคุณครับสำหรับการติดตามอ่าน แล้วเจอกันรีวิวหน้านะครับ^_^