Saturday, November 23, 2013

วิจารณ์ภาพยนตร์ - Movie Review : The Hunger Games : Catching Fire เกมล่าเกม 2



The Hunger Games : CATCHING FIRE (2013)


Kobe's Meter : 9/10


ขอออกตัวก่อนว่า ไม่ใช่แฟนตัวยงหนังสือซีรีย์นี้  แค่ซื้อมาอ่านเพราะเห็นว่าน่าจะสนุก ซึ่งก็สนุกจริงๆ แต่โดยส่วนตัวสำหรับตัวหนัง บอกเลยว่า ไม่ปลื้มภาคแรกเท่าไหร่ เพราะ ผกก. และ Casting ทำผมหัวใจสลายมากในภาคเปิดตัวจนแทบไม่อยากดูภาคสองเลย

แต่ด้วยความที่หนังสือนั้น ภาคสองมันพีคมากๆ เลยแบบ เอาวะ!! ไปดูก็ได้ แล้วยิ่งพอรู้ว่า ผกก. เปลี่ยนตัวจาก Gary Ross (Big 1988 , Plasantville 1998, Seabiscuit 2003) ผู้ซึ่งถนัดหนังแนวดราม่า ปรัชญามากกว่า มาเป็น Francis Lawrence ( Constatine 2005 , I am LEGEND 2007) ผกก.ที่ได้เครดิตมาจากการเป็น ผกก.มิวสิควีดีโอวัยรุ่นจ๋า อย่าง I'm a slave for U ของนังหอก  และหลายๆ MV ของนัง J.Lo แล้วก็ถึงกับคันตาอยากดูตะหงิดๆ เพราะ The Hunger Games มันต้องให้คนประมาณนี้กำกับ  เพราะหน้าหนังมันไปอยู่ที่อนาคตที่มีคน Gen X Y Z ไปแก่รออยู่ ภาพรวมต่างๆมันเลยต้องออกมาในสไตล์คนที่สร้างเทรนภาพยุคนั้น ซึ่ง Francis Lawrence ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ!! มันแซบมาก

The Hunger Games : CATCHING FIRE นั้น เล่าเรื่องต่อยอดหลังจากที่เกมล่าเกมครั้งที่ 74 จบลง และได้ผู้ชนะ 2 คนจากเขต 12 คือ Katniss Everdeen และ Peeta Mallark  ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เกมล่าเกมที่มีผู้ชนะร่วม 2 คน ซึ่งเหตุก็มาจากความสตอเบอแหล ดราม่า และบ้าดารา โหยหาความรักจากประชาชนตีนแดง ตะแคงตีนเดินใน Capitol นั้น เกิดอินไปกับความรักออนแอร์(แหลๆ) ของ Katniss และ Peeta จน GameMaker อย่าง Seneca Crane ต้องยอมแหกกฎจนตัวเองโดน ปธน. Snow จอมลวงโลก สั่งประหารซะเอง เนื่องจากไม่พอใจในการมีตัวตนอยู่ของ 2 Supตาขวัญใจมหาชน Katniss และ Peeta จนอาจสร้างความสั่นสะเทือนในอำนาจแบบเบ็ดเสร็จที่เขามีอยู่ในมือ





ในครั้งนี้ ปธน. Snow มีแผนที่จะจัดการกับ Katniss / Peeta และผู้ชนะเกมในปีก่อนๆทั้งหมดแบบเจ็ดชั่วโคตร โดยมี Plutarch Heavensbee (เฮีย Philip Seymour Hoffman) ที่อาสามาเป็น GameMaker คนใหม่ผู้มาแทน Seneca Crane โดยงานหลักคือมาเพื่อจัดเต็มใส่ผู้เข้าแข่งขันหรือที่เรียกว่า เครื่องบรรณาการ จาก 12 เขต เขตละ 2 คน เพื่อให้ความตั้งใจในการกำจัดเสี้ยนหนามของ ปธน. Snow สำเร็จลุล่วงได้ โดย The Hunger Games ในคราวนี้ จัดขึ้นเป็นปีที่ 75 ซึ่งทุกๆ 25 ปี เกมล่าชีวิตเกมนี้จะถูกเรียกขานในชื่อ Quarter Quell ซึ่งจะเป็น Quarter Quell ครั้งที่ 3  สำหรับความพิเศษของ Quarter Quell นั้น คือการตั้งกฏ กติกา มารยาท และเกมการแข่งขันขึ้นมาใหม่ ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์เดิม ในครั้งนี้ กฎก็คือการจับฉลากเอาเครื่องบรรณาการ โดยใช้เฉพาะชื่อผู้ชนะรายเดิมในเขตนั้นๆทั้ง 12 เขต ทั้งหญิงและชาย ให้กลับเข้ามาใน Arena ที่อลังการมากกว่าภาคที่แล้ว เพื่อเข่นฆ่ากันจนเหลือผู้ชนะเพียงคนเดียวนั่นเอง .... ซาดิสต์สัส!!





หนังเล่าเรื่องที่ชีวิตหลังได้รับชัยชนะของ Katniss และ Peeta ซึ่งก็ยังคงต้องรักษาภาพคู่รักหวานแหววดูดดื่ม ขวัญใจมหาชนต่อไปอย่างเกร็งๆ โดย Katniss นั้น ยังดูกระด้างกระเดื่องกับ Peeta ไม่ต่างจากเดิม ในขณะที่ Peeta ดูจะมีใจกับ Katniss ชัดเจนมากขึ้น  ตรงนี้เล่าเรื่องได้ดี ชัดเจน กระชับ และอินมากครับชอบ

เรื่องราวต่อมาคือช่วงที่ผู้ชนะจะต้องเดินสายไปตามเขตต่างๆทั้ง 11 เขตที่เหลือตามหน้าที่ เหมือนเป็นการเดินสายนางงาม ซึ่งจะต้องทำทุกอย่างตามสคริปต์ โดยนัยยะหลักตามธรรมเนียม คือสี้างความกดดัน หมั่นไส้ และรังเกียจกันระหว่างคนต่างเขตกัน เนื่องจากผู้ชนะที่มาแวะเวียนทักทายนั้น คือคนที่ฆ่าคนในเขตนั้นๆตายเพื่อชัยชนะนั่นเอง

แต่ผลกลับออกมาตรงกันข้าม เนื่องจากนาง Katniss และ Peeta ไม่พูดตามบท แต่พูดออกมาจากใจ จนผู้คนเริ่มรับรู้ถึงความหวังที่จะลุกฮือ ต่อต้าน  Capitol  จนทำให้ ปธน. Snow เกิดอาการไม่พอใจขึ้น จนเป็นเหตุของกฎ Quart Quell สุดโหดนั่นเอง

ตรงนี้เป็นช่วงปูอารมณ์คนดู และสะเทือนอารมณ์มากพอสมควร rence

และก็มาถึงช่วงพีคสุดๆของเรื่อง คือนับจากการประกาศกฎนรก Quarter Quell ครั้งที่ 3 ปั๊ป หนังก็สนุกขึ้น สนุกขึ้น พีคขึ้นแบบดูไปเกร็งไปลุ้นไป โดยเฉพาะฉากใน Arena ที่ทำออกมาสมจริง อลังการ โดยที่จังหวะจะโคนการกำกับภาพและดนตรีประกอบนั้น ระทึกขวัญสุดๆ ฟินมากบอกเลย

การแสดงของ Peeta ดูดีขึ้นมาก ดูเป็นคนฉลาด สุขุมและเริ่มหล่อกว่าตอนภาคแรกมาก โอเคแล้วนะ Peeta ลงตัว ให้อภัยจากภาคก่อนที่ fail มาก!!!

ยัย Lawrence ไม่ต้องสนนาง นางเป็นคนมีของ ยิ่งดูนางนานๆจะยิ่งหลง จริงๆนางเล่นหนังเก่ง แต่ภาคหนึ่งนางดูโวยวายไปหน่อย ภาคนี้ชินละว่านางเป็นแบบนี้ ก็ โอเคนะ

แต่ยัย Johanna  Mason (Jena Malone น้องฟันจอบจาก Step Mom) นี่สิ inner พุ่งมาก โผล่มาทีก็ขโมยซีนสุดๆ ชอบนางอ่ะ เป็นสีสันมากๆ

ส่วน Finnick Odair (Sam Claflin) ก็หล่อล่ำถูกคาแรคเตอร์มาก ผู้ชายใน Arena ที่เป็นคีย์เวิร์ดของเรื่องทั้งหมดมันต้องให้ได้เท่านี้

อีกคนที่ต้องปรบมือเพราะเป็นอะไรที่กระตุ้นต่อมรังเกียจ Capitol ฉิบหายเลย ก็คือ Caesar Flickerman รับบทโดยท่าน Stanley Tucci โอ้โห ... อาต๋อย ทูไนท์โชว์ยังต้องหลบ แม่งงงง ตอแหลออกอากาศได้น่าหมั่นไส้มาก


ในส่วนภาพ ฉาก CG ใน ARENA ไม่ต้องพูดถึง เค้าบอกว่าทุนสร้างมากกว่าภาคแรกเท่านึง!! อูยย มิน่า ออกมาสวยงาม อลังการ สมจริง และ เยอะสมราคา คุ้มค่าตั๋วจอ ENIGMA ณ พารากอนเลยล่ะ บอกเลย!!

ดนตรีประกอบ จากพ่อ James Newton Howard คือแบบ... ต้องพูดอะไรมั้ยอะ กับท่านพ่อคนนี้ เอาเป็นว่า คนยุคผม ดู The Fugitive (1993)  ได้อย่างตื่นเต้นฉี่จะราดเพราะดนตรีประกอบนั้น เป็นยังไงไปหา DVD ดูเอาเองนะ ไอ้พวกเกิดช้า ส่วนเครดิตหลังๆที่สร้างชื่อให้ท่านพ่อคือ The Sixth Sences (1999) , One Fine Day (1996) , Kingkong (2006) ,etc.. โหย พ่อเค้าเก่งทั้งบู๊ทั้งบุ๋นจริงๆนะ สุดยอดมากเลยใน  CATCHING FIRE เนี่ย ชนะเลิศ มีเข้าชิงแน่ๆ ฟันธง!!

เพลงใน Catching Fire ก็เก๋ขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้นไม่เบานะ เพลงเด่นสองเพลงอย่าง Atlas (Coldplay) และ We Remain (Christina Aguilera) นอกจากจะเพราะติดหูจับใจแล้ว  ยังมีความหมายลึกซึ้งมากทีเดียว โดยเฉพาะกับ We Remain ของนังติ๊ขวัญใจผู้เขียน ที่เหมาะเหลือเกินกับการใช้เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของ Catching Fire มันสร้างกำลังใจว่า "นัง Katniss หล่อนต้องสู้นะ อย่าถอยนะ ชะนี!!"

สรุปอย่างง่ายๆ ว่าไปดูเหอะ ภาคนี้ รักเลย มันสนุกมาก ผู้เขียนเองไม่ชอบภาคแรกเลยจนไม่คิดจะเขียนวิจารณ์ แต่ว่าภาคนี้มันใช่อะ แซบมาก แฟนหนังสือน่าจะชอบขึ้นแน่ๆ แถมคนดูหนังเปล่าๆที่ไม่เคยอ่านหนังสือมาก็น่าจะหันมาเป็นแฟนได้เลย เพราะมันเหนือชั้นขึ้นมาก สร้างมาตรฐานใหม่ให้หนังแปลงไตรภาคให้ดูงดงาม มีคุณค่าขึ้น หลังจากที่ความสำเร็จของ Twilight ทำเอาเครดิตหนังสร้างจากนิยายตกฮวบไปมาก .... ขอให้สนุกครับ



ปล. ยัยเอฟฟี่นางน่ารักนะภาคนี้ ชุดชนะ แถมยังทำตัวดี inner ทะลุเมคอัพ 6 นิ้วออกมาได้น่ารักมากๆๆๆๆ ลืมชมนางข้างบน 5555














Thursday, November 21, 2013

วิจารณ์ภาพยนตร์ - Movie Review : Any Day Now วันหนึ่ง วันหน้า วันที่รักจะมาถึง

















https://www.youtube.com/watch?v=7ghwGOuuNy0


Any Day Now (2012)

Kobe's Meter : 8/10


ภาพยนตร์ทุนสร้างน้อยนิด แค่ 2 แสนเหรียญเรื่องนี้ อัดแน่นไปด้วยสารพัดดาราดีๆ ที่ตบเท้ากันมาช่วยโปรเจคต์หนังเรื่องนี้ให้ลุล่วงออกมาได้ และได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามจากสารพัดสถาบัน แต่ไม่ประสบความสำเร็จนักในทางรายได้ เนื่องจากจำนวนโรงฉายอันน้อยนิด บ้านเราก็เพิ่งเอามาฉายแบบจำกัดโรงที่ลิโด้ เฮาส์อาร์ซีเอ และเครือเอสเอฟ เมื่อเดือนสิงหาที่ผ่านมา 




ราวที่สร้างจากเรื่องจริงที่โด่งดังในปี 1979 เกี่ยวกับเด็กน้อย อายุ 14 ย่าง 15 ปี ชื่อ Marco  (Isaac Leyva) ที่มีอาการดาวน์ซินโดรม แถมดันโชคร้ายมีแม่ขี้ยาและมั่วเซกส์ ทิ้งให้เขาต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมแย่ๆ และไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม



วันนึง ตำรวจก็เข้ามาจับกุมตัวแม่ของ Marco ไปเนื่องจากคดียาเสพติด ทิ้งให้เด็กน้อยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างเขา ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว และกำลังจะถูกพาไปอยู่สถานสงเคราะห์ .. 

ในขณะที่นางโชว์แดรกควีนส์ตัวกลั่นที่อาศัยอยู่ห้องข้างๆอย่าง Rudy ( Alan Cumming) ทนรับกับเรื่องต่างๆที่เขาคิดว่า อาจกำลังเกิดขึ้นกับ Marco หลังจากนี้ไม่ได้ จึงพยายามหาทางรับ Marco มาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมร่วมกับคนรักที่คบกันอย่างหลบๆซ่อนๆ คือทนายหนุ่มหล่ออนาคตไกลอย่าง Paul Garret Dillahunt )

ภาพยนตร์สื่อเรื่องราวการกีดกันทางเพศในสังคมยุคนั้นอย่างชัดเจนในทุกๆแง่ และประเด็นหลักในเรื่องของสิทธิของเด็กพิการทางสมองก็ตีโจทย์ออกมาด้วยบทที่เข้าถึงง่าย กว่า 30 ปีที่แล้ว การเป็นเกย์อย่างเปิดเผยนั้นไม่เป็นที่ยอมรับเลย แถมคนส่วนมากในสังคมยังคงตั้งป้อมรังเกียจพวกรักร่วมเพศ ว่าเป็นพวกประหลาด วิตถาร และมีความผิดปกติทางจิตใจ บวกกับเด็กปัญญาอ่อนคนนึง ... หนทางสู่ความเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์นั้น ริบหรี่ยิ่งกว่าแสงในก้นทะเลลึกซะอีก


ความยอดเยี่ยมของ Any Day Now คือการแสดงที่มีชีวิตของดาราทุกคน โดยเฉพาะ Alan Cumming ที่แสดงได้ดีมากจนขอเป็นแฟนคลับเพิ่มอีกคน ธรรมชาติอย่างที่สุดจนน่าคิดว่า ถ้า Acedemy  ไม่สนใจ Cumming บ้าง ก็คงน่าตบสุดๆ  นอกจากนี้ การคุมโทนการแสดงของนักแสดงคนอื่นๆทุกคน ก็ดูกำลังดี ไม่ over-acted มากจนดูตั้งใจจะให้คนดูคล้อยตาม ทุกคนสวมบทบาทได้ดูดี มีเสน่ห์ คาแรคเตอร์ชัดเจนตามพื้นฐานตัวละครทุกคน

อีกคนที่ต้องพูดถึง คือน้อง Isaac Leyva ที่รับบทเป็น Marco  ซึ่งตัวตนจริงๆ เป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา หรือ ดาวน์ซินโดรมจริงๆ  แต่การแสดงต่างๆที่ออกมานั้น ดูเกินกว่าสติปัญญาตามความบกพร่องของน้องมาก โดยเฉพาะสายตาและคำพูด ยอดเยี่ยมมากจนต้องชม ผกก.  Travis Fines ที่เก่งมาก และเอาอยู่



อีกหนึ่งจุดคือ ภาพยนต์ไม่บีบคั้นคนดูด้วยอารมณ์แบบเมโลดราม่า ด้วยการใช้มุมกล้องที่ไม่ตั้งใจบีบให้เราอิน ... แต่พอซีนนั้นๆผ่านมา เราจะออกอาการเงิบ และอินไปเองด้วยสายตา คำพูด และท่าทางต่างๆของตัวละคร เป็นหนังที่มีผลกระทบทางใจหลังภาพยนตร์จบมากสุดๆเรื่องนึง คือดูจบแล้วก็ออกมาคิดต่อ น้ำตาไหลต่อนอกโรงได้  โดยเฉพาะฉากที่ Marco ถูกรับตัวมาอยู่ที่บ้านของคู่รักเกย์วันแรก (นาทีที่ 1:33 ในเทรลเลอร์ด้านบน) เมื่อเดินขึ้นไปถึงห้องนอนที่ถูกจัดเตรียมไว้ต้อนรับเขาอย่างดี เขาพูดออกมาว่า "I am so excited" มันมีพลังมาก มากพอที่จะทำให้คนเห็นแก่ตัวสักคนนึง อยากลุกขึ้นมาทำอะไรดีๆให้คนอื่นบ้าง เพื่อจะได้สัมผัสช่วงเวลาที่เรามีความสุขกับการเป็นผู้ให้ แบบวินาทีนั้น



ไม่ขออธิบายมาก เพราะดราม่าแบบนี้ ต้องดูเอง แต่สิ่งที่คุณจะได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้คือ " ความเป็นคน " กระตุ้นเตือนใจเราถึงเหตุผลที่เราต่างจากอะไรที่ไม่ใช่คน ว่ามันคืออะไรครับ 

เรารู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเราเป็นคน เรามีปัญญาต่างจากสัตว์ แต่ปัญหาคือ เราเลือกที่จะทำสิ่งนั้นรึเปล่า .. และนั่นแหละคือคำตอบของ Any Day Now ครับ